แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 51
1
ประสิทธิภาพของแผ่นสะท้อนความร้อน ฉนวนกันความร้อน ในการลดความร้อนจากแสงแดด

ทำความรู้จักหลักการทำงานของแผ่นสะท้อนความร้อน ตัวช่วยสำคัญของการป้องกันอาคารจากแสงแดด

การลดความร้อนภายในอาคารหรือบ้านเรือนมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของผู้คนเป็นอย่างมาก เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงเกินไปสามารถส่งผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพของผู้คนได้ อีกทั้งยังทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด ไม่สบาย หงุดหงิด และอ่อนเพลียง่าย จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามการลดความร้อนภายในอาคารด้วยการติดตั้งเครื่องปรับอากาศอาจยังไม่เพียงพอ แต่ควรเริ่มป้องกันความร้อนตั้งแต่กระบวนการก่อสร้างอาคารเลยจะดีที่สุด ซึ่งวิธีการป้องกันที่ว่าก็คือการใช้งาน ‘แผ่นสะท้อนความร้อน’ ตัวช่วยสำคัญที่สามารถลดความร้อนจากแสงแดดได้ เพื่อช่วยให้ทุกคนเข้าใจหลักการทำงานของแผ่นสะท้อนความร้อนให้มากขึ้น รวมถึงเข้าใจข้อดีของมัน

บทความนี้เลยจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับหลักการทำงานของแผ่นสะท้อนความร้อนว่ามีกระบวนการอย่างไร พร้อมไขข้อข้องใจว่าทำไมถึงสามารถลดความร้อนได้ไปพร้อมกันด้วย ผ่าน 4 คำถามยอดนิยมเกี่ยวกับแผ่นสะท้อนความร้อน


ไขข้อข้องใจ! ‘แผ่นสะท้อนความร้อน’ ลดความร้อนจากแสงแดดได้อย่างไร?

   
1. แผ่นสะท้อนความร้อนคืออะไร?

    ก่อนที่เราจะเข้าสู่ประเด็นหลักเกี่ยวกับหลักการทำงานของแผ่นสะท้อนความร้อน เราก็อยากจะเริ่มต้นด้วยการอธิบายให้ทุกคนเข้าใจก่อนว่าแผ่นสะท้อนความร้อนคืออะไร? แผ่นสะท้อนความร้อน (Radiant Barrier) คือวัสดุผืนผิวเรียบ มันวาวที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่สะท้อนรังสีความร้อนจากแสงอาทิตย์ไม่ให้แทรกซึมเข้าสู่ตัวอาคารหรือบ้านเรือน สร้างขึ้นมาจากแผ่นโลหะบางสะท้อนแสงอย่าง อลูมิเนียมฟอยล์ โดยนำมาประกบกันสองชั้น บริเวณชั้นกลางจะทำเป็นโครงสร้างช่วยเสริมความแข็งแรงประมาณ 4 – 7 ชั้น ประกอบด้วยกระดาษคราฟต์ เส้นใยเสริมแรง

   
2. อยากลดความร้อนจากแสงแดดอย่างมีประสิทธิภาพ ควรติดตั้งแผ่นสะท้อนความร้อนตรงไหนดี?

    แผ่นสะท้อนความร้อนถูกออกแบบมาให้ติดตั้ง ‘ใต้หลังคา’ หรือ ‘ผนังด้านนอกอาคาร’ โดยหันด้านที่เป็นแผ่นโลหะสะท้อนแสงออกด้านนอก เพื่อสะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ออกจากตัวอาคาร ช่วยลดปริมาณความร้อนที่จะแทรกซึมเข้าสู่ภายในอาคาร ทำให้สามารถควบคุมอุณหภูมิภายในห้องได้ดีขึ้น และยังช่วยประหยัดพลังงานจากการใช้งานเครื่องปรับอากาศลงได้อีกด้วย

   
3. แผ่นสะท้อนความร้อนมีหลักการทำงานอย่างไร?

    มาถึงไฮไลต์ของบทความที่หลายคนน่าจะสงสัยกันมานานว่าเพราะอะไรแผ่นสะท้อนความร้อนถึงสามารถลดความร้อนจากแสงแดดได้ สำหรับเรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบแรกให้กับตัววัสดุอย่างอลูมิเนียมฟอยล์ แผ่นโลหะที่มีความบาง ความมัน และความเงา เมื่อรังสีความร้อนและแสงอาทิตย์สาดส่องมากระทบกับวัสดุ และผืนผิวแบบนี้ พวกมันจะไม่ถูกดูดกลืน แต่จะสะท้อนกลับออกไปจากแผ่นโดยไม่ได้แทรกซึมผ่านเข้าสู่ภายในอาคาร จึงสามารถสะท้อนความร้อนได้สูงสุดถึง 95% และยังมีคุณสมบัติกระจายความร้อน 5% อีกด้วย และอีกหนึ่งเคล็ดลับที่ทำให้แผ่นโลหะบาง ๆ เหล่านี้สามารถทำหน้าที่ลดความร้อนได้ดีก็คือเรื่องของการติดตั้ง เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเราจะติดตั้งไว้บริเวณใต้หลังคา จึงช่องว่างอากาศระหว่างแผ่นกับโครงสร้างอาคาร มันจึงสามารถถ่ายเทความร้อนให้สะท้อนออกไปได้สะดวกมากขึ้น สรุปหลักการโดยรวมก็คือ เมื่อแสงอาทิตย์มากระทบกับแผ่นสะท้อนความร้อน มันก็จะถูกสะท้อนออกไปด้านนอกอาคารทันที เพราะวัสดุแบบแผ่นสะท้อนความร้อนไม่ดูดกลืนความ

   
4. แผ่นสะท้อนความร้อนสามารถหาซื้อได้ที่ไหน?

    หลังจากทราบแล้วว่าแผ่นสะท้อนความร้อนคืออะไร มีกระบวนการทำงานแบบไหน ทำไมถึงสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ และควรทำงานร่วมกับวัสดุตัวไหนดี คำถามยอดฮิตข้อสุดท้ายที่หลายคนมักสงสัยกันเมื่อนึกถึงแผ่นสะท้อนความร้อนก็คือ เราควรไปซื้อสิ่งนี้ที่ไหนดี? ตามปกติแล้วแผ่นสะท้อนความร้อนสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายของก่อสร้างทั่วไป แต่เพื่อการใช้งานที่ง่าย สะดวก และไม่ต้องกังวลภายหลัง ทุกคนควรซื้อแผ่นสะท้อนความร้อนกับร้านที่จัดจำหน่ายแผ่นสะท้อนความร้อนโดยตรงเลยจะดีที่สุด เพราะการติดตั้งแผ่นสะท้อนความร้อนไม่ได้มีเพียงการติดใต้หลังคาเพียงอย่างเดียว แต่ควรคำนวณหาค่า Heat Loss, Heat Gain, Surface Temperature เพื่อต้องการทราบประเภทและความหนาของฉนวนที่ถูกต้องด้วย ดังนั้นการซื้อแผ่นสะท้อนความร้อนจากร้านเฉพาะทางที่ให้บริการแบบครบวงจร จะช่วยลดความกังวลและเพิ่มความมั่นใจให้กับทุกคนได้มากกว่า

   
5. แผ่นสะท้อนความร้อนช่วยประหยัดค่าไฟได้จริงหรือ?

    แผ่นสะท้อนความร้อนช่วยประหยัดค่าไฟได้จริง เพราะมันทำหน้าที่สะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์กลับสู่บรรยากาศ จึงสามารถลดปริมาณความร้อนที่เข้าสู่อาคารหรือบ้านเรือนได้ ส่งผลให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง ใช้พลังงานไฟฟ้าลดลง ทำให้ประหยัดค่าไฟในระยะยาวได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การจะประหยัดไฟได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกัน ทั้งเรื่องพื้นที่ที่อาคารตั้งอยู่ คุณภาพของวัสดุ ลักษณะโครงสร้างของอาคาร และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่โดยภาพรวมแล้วสามารถลดค่าไฟได้มากกว่าอาคารที่ไม่ติดตั้งแผ่นสะท้อนความร้อนอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นการลงทุนติดตั้งแผ่นสะท้อนความร้อนจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้

ทั้งหมดนี้คือ 5 คำถามยอดนิยมเกี่ยวกับแผ่นสะท้อนความร้อน ที่หลายคนมักสงสัยเมื่อพูดถึงประสิทธิภาพของแผ่นสะท้อนความร้อนในการลดความร้อนจากแสงแดด เชื่อว่าหลังจากอ่านคำตอบทั้งหมดนี้แล้ว ทุกคนน่าจะเข้าใจมากขึ้นว่าแผ่นสะท้อนความร้อนคืออะไร มีกระบวนการทำงานแบบไหน ทำไมถึงสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ และควรทำงานร่วมกับวัสดุตัวไหนดีอย่างแน่นอน ส่วนใครที่กำลังมองหาร้านเฉพาะทางที่จัดจำหน่ายแผ่นสะท้อนความร้อนคุณภาพดี

2
ฉนวนกันความร้อน ปลอดภัยไว้ก่อน ด้วยการประเมินระดับความร้อน ให้เหมาะสมกับลักษณะการทำงาน

ในโรงงานอุตสาหกรรม ความร้อนกับการทำงาน เป็นสิ่งที่พนักงานหรือลูกจ้างต้องเผชิญและสัมผัสกับความร้อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งอันตรายจากความร้อนในการทำงานนั้น เมื่อร่างกายเราได้รับความร้อน จะมีการถ่ายเทความร้อนออกไปเพื่อรักษาสมดุลของอุณหภูมิร่างกาย ซึ่งปกติอยู่ที่ 37 องศาเซลเซียส ถ้าร่างกายไม่สามารถรักษาสมดุลของระบบควบคุมความร้อนได้จะเกิดความผิดปกติและเจ็บป่วย ลักษณะอาการและความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น เช่น มีภาวะขาดน้ำ อ่อนเพลีย เป็นลม และมีอาการเป็นตะคริว

 แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ…? เพื่อหาแนวทางป้องกันให้ลูกจ้างปฏิบัติงานกับความร้อนได้อย่างปลอดภัย ไม่ให้ลูกจ้างได้รับอันตรายจากความร้อน และไม่ส่งผลกระทบต่อระบบการผลิต วันนี้เรามีแนวทางป้องกันอันตรายจากความร้อน ด้วยการประเมินความระดับร้อนให้เหมาะสมกับลักษณะการทำงาน จะเป็นอย่างไรนั้น เรามาดูไปพร้อมๆกันเลยค่ะ


การประเมินระดับความร้อนให้เหมาะสมกับลักษณะการทำงาน

ตามกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง และเสียง พ.ศ.2559

ความหนัก-เบาของงาน หมายความว่า การใช้พลังงานของร่างกายหรือใช้กําลังงานที่ทำใหเกิดการเผาผลาญอาหารในร่างกายเพื่อใช้ปฏิบัติงาน การจําแนกความหนัก-เบาของลักษณะการทำงานออกเป็น 3 ระดับ (ตามกฎกระทรวงฯเกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง และเสียง พ.ศ.2549) โดยคํานวณการใช้พลังงาน ดังนี้

“งานเบา” หมายความว่า ลักษณะงานที่ใช้แรงน้อยหรือใช้กําลังงานที่ทำให้เกิดการเผาผลาญอาหารในร่างกายไม่เกิน 200 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมง

ตัวอย่างกิจกรรมและการปฏิบัติงาน ตามระดับของงานเบา

นั่งทำงานโดยมีการเคลื่อนไหวของแขน-ขาปานกลาง เช่น งานสำนักงาน งานเขียนหนังสือ งานพิมพ์ดีด งานบันทึกข้อมูล งานนั่งตรวจสอบผลิตภัณฑ์ งานประกอบชิ้นงานขนาดเล็ก ตรวจสอบ/ประกอบชิ้นส่วนวัสดุเบา เย็บปักถักร้อย

ยืนทำงานโดยมีการเคลื่อนไหวของลำตัวเล็กน้อย เช่น ควบคุมเครื่องจักร บรรจุวัสดุน้ำหนักเบา งานบังคับเครื่องจักรด้วยเท้า การใช้เครื่องมือกล/เครื่องทุ่นแรงขนาดเล็ก

เดินด้วยความเร็วไม่เกิน 2 ไมล์/ชั่วโมง (2 กิโลเมตร/ชั่วโมง) เช่น เดินตรวจงาน หรือเดินส่งเอกสารจำนวนเล็กน้อย

“งานปานกลาง” หมายความว่า ลักษณะงานที่ใช้แรงปานกลางหรือใช้กําลังงานที่ทำให้เกิดการเผาผลาญอาหารในร่างกายเกิน 201 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมง ถึง 350 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมง


ตัวอย่างกิจกรรมและการปฏิบัติงาน ตามระดับของงานปานกลาง

นั่งทำงานโดยมีการเคลื่อนไหวหรือใช้กำลังแขน – ขาค่อนข้างมาก เช่น นั่ง ควบคุมปันจั่น เครน หรือเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ในงานก่อสร้าง ประกอบ/ บรรจุวัสดุที่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก ขับรถบรรทุกขนาดใหญ่

ยืน/เคลื่อนไหวลําตัวขณะทำงาน เช่น ยกของที่มีน้ำหนักปานกลาง ลาก-ดึง รถเข็นวัสดุที่มีล้อเลื่อน ทำงานในห้องเก็บของ ยืนตอกตะปูใช้เครื่องมือกลขนาดปานกลาง ยืนป้อนชิ้นงาน การขัดถูทำความสะอาด รีดผ้า

เดินด้วยความเร็ว 2-3 ไมล์/ชั่วโมง (2 – 4.8กิโลเมตร/ชั่วโมง ) หรือเดิน โดยมีการถือวัสดุที่น้ำหนักไม่มากเช่น เดินส่งเอกสารหรือห่อวัสดุสิ่งของ

“งานหนัก” หมายความว่า ลักษณะงานที่ใช้แรงมากหรือใช้กําลังงานที่ทำให้เกิดการเผาผลาญอาหารในร่างกายเกิน 350 กิโลแคลอรีต่อชั่วโมง


ตัวอย่างกิจกรรมและการปฏิบัติงาน ตามระดับของงานหนัก

ทำงานที่มีการเคลื่อนไหวลำตัวมาก/อย่างเร็ว หรือต้องมีการออกแรงมาก เช่น ลาก ดึง หรือยกของที่มีน้ำหนักมาก (> 20 kg) งานที่ใช้พลั่วตักหรือเครื่องมือลักษณะคล้ายกับงานขุด งานเลื่อยไม้ ขุดหรือเซาะดิน/ทราย งานเจาะไม้เนื้อแข็ง งานทุบโดยใช้ค้อนขนาดใหญ่ งานยก หรือเคลื่อนย้ายของหนัก ขึ้นที่สูงหรือที่ลาดชัน งานคุ้ยตะกรันในเตาหลอม งานแกะสลักโลหะหรือหิน การขัดถูพื้นหรือพรมที่สกปรกมากๆ งานก่อสร้างและงานหนักที่ต้องปฏิบัติกลางแจ้ง

เดินเร็วๆ หรือวิ่งด้วยความเร็วมากกว่า 3 ไมล์/ชั่วโมง (8กิโลเมตร/ชั่วโมง )


ประเภทของอุตสาหกรรมที่เสี่ยงต่อความร้อนในการทำงาน

ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง มาตรการคุ้มครองความปลอดภัยในการประกอบกิจการโรงงานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมในการทำงานพ.ศ.2546 ซึ่งได้กำหนดหลักเกณฑ์วิธีดำเนินการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับความร้อนภายในสถานประกอบกิจการ ประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ต้องทำการตรวจวัดความร้อนกำหนดไว้ ได้แก่

-โรงงานผลิตน้ำตาลทรายดิบ น้ำตาลทรายขาว หรือการทำให้บริสุทธิ์

-โรงงานสิ่งทอที่ทำการฟอก ย้อมสี หรือแต่งสำเร็จด้ายหรือสิ่งทอ

-โรงงานผลิตเยื่อกระดาษจากไม้หรือวัสดุอื่น การทำกระดาษ กระดาษแข็ง

-โรงงานผลิต ซ่อม หล่อ หรือหล่อดอกยางนอก ยางใน

-โรงงานผลิตแก้ว เส้นใยแก้ว

-โรงงานทำซีเมนต์ปูนขาว ปูนปลาสเตอร์

-โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการถลุง ผสมทำให้บริสุทธิ์หลอม หล่อ รีด ดึง หรือผลิตโลหะขั้นต้น

-กิจการที่มีแหล่งกำเนิดความร้อนหรือมีการทำงานที่อาจทำให้ลูกจ้างได้รับอันตรายเนื่องจากความร้อน

ขอบคุณที่มา : เนื้อหาบางส่วนจากกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง และเสียง พ.ศ. 2549

: เนื้อหาบางส่วนจากคู่มือการใช้เครื่องมืออาชีวสุขศาสตร์พื้นฐาน สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค

3
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


4
ซ่อมบำรุงอาคาร: 5 เทคนิคง่าย ๆ ในการตรวจหารอยแตกร้าวรั่วซึม

สภาพดินฟ้าอากาศที่แปรปรวนในช่วงรอยต่อของฤดูกาลแบบนี้ ก็มักจะมีพายุฝนเข้ามาบ่อยครั้ง ทำให้ฝนตกกระหน่ำ หากบ้านที่เราพักอาศัยผ่านกาลเวลามานานก็อาจจะพบเจอกับปัญหารอยรั่วแตกราว เมื่อมีฝนตกก็มีโอกาสที่น้ำจะไหลซึมเข้ารอยแตกร้าวและมีโอากาสที่จะสร้างความเสียหายให้กับโครงสร้าง หรือข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านได้ หากเราพบเจอปัญหาความเสียหายของตัวบ้านก็ควรจะเรียกช่างมาซ่อมแซม ก่อนจะเข้าฤดูฝนอย่างจริงจังในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

เราจึงนำวิธีการสังเกตุและวิธีการตรวจสอบมาแนะนำให้คุณสามารถตรวจหารอยรั่วด้วยตัวเองกับ 5 เทคนิคง่าย ๆ ในการตรวจหารอยแตกร้าวรั่วซึม รับรองว่านำไปใช้ได้จริงแน่นอน

1. สังเกตจากฝ้า
วิธีแรกเป็นการสังเกตแบบมาตรฐานทั่ว ๆ ไป ให้สังเกตจากฝ้า ดูคราบน้ำตามขอบฝ้าจะมีร่องรอยของน้ำอยู่ หรือไม่ก็สังเกตที่สีทาฝ้าก็ได้ จะมีคราบเป็นดวง ๆ ด่าง ๆ ถ้าเห็นแบบนี้ ชัวร์เลยว่าหลังคารั่วแน่ ๆ จากนั้นให้หาดินสอมามาร์คเอาไว้ หรือจะถ่ายรูปให้ช่างดูก็ได้จะเห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น ปัญหาของการเกิดน้ำรั่วอยู่ที่ หลังคา เจ้าของบ้านควรดูและและหมั่นตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งถ้าเป็นบ้านเก่าด้วยล่ะก็ อาจเกิดจากความเสื่อมสภาพได้ เช่น สกรูยึดหลังคาหลวม กระเบื้องหลังคาแตกร้าว เป็นต้น ควรหาช่างที่มีความชำนาญมาเช็ค หากพบว่าแตกหรือรั่วก็ควรรีบเปลี่ยนโดยด่วน

2. ดูจากแสงที่ลอดลงมาใต้หลังคา
วิธีต่อมาอาจต้องปีนดูใต้หลังคาแล้วสังเกตว่ามีจุดไหนที่แสงสว่างลอดส่องลงมาจากหลังคาบ้าง ถ้าเห็นแบบนั้นแล้ว หลังคาบ้านคุณรั่วแน่ ๆ แต่ถ้าบ้านไหนมีจุดเปิด หรือช่องเซอร์วิสบางจุดล่ะก็ วิธีเดียวที่จะช่วยได้ก็คือ การหารอยหรือคราบน้ำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

3. ทำฝนเทียมให้รู้กันไปเลย
อีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ ที่ทำได้เองคือ การใช้สายยางฉีดน้ำรดไปบนหลังคาโดยตรง ฉีดไปทั่ว ๆ นาน ๆ ให้คนนึงฉีดอีกคนนึงคอยสังเกตการณ์อยู่ด้านล่าง ถ้ารั่วจริงก็จะเห็นเป็นคราบน้ำไม่ก็หยดลงมาเป็นสาย ให้เราเห็นคาตาเลย แต่ไม่แนะนำให้ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงมาใช้ เพราะอาจทำให้หลังคาเสียหายได้ จากที่ไม่มีปัญหาก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่เลยล่

4. ดูจากภายนอกบ้าน
วิธีนี้อาจต้องใช้ทักษะในการสังเกตมากหน่อย ตรวจดูว่าบนกระเบื้องมีรอยแตก รอยร้าวบ้างมั๊ย หรือไม่ก็ดูที่รอยต่อของกระเบื้อง บริเวณน็อตหลังคาหลุดหรือหลวมมั้ย ดูรูปทรงหลังคาว่าได้ระดับดี มีความสมมาตรมั้ย ต้องดูว่าไม่เอียงหรือบิดเบี้ยว ไม่เผยอ ครอบหลังคาปิดมิดชิดหรือไม่ รวมไปถึงมีอุปกรณ์ยึดหลังคาครบถ้วน และอยู่ในสภาพดีมั้ย

5. บริเวณวงกบประตูและหน้าต่างผิดปกติมั้ย
นอกจากปัญหาหลังคารั่วแล้ว อีกสาเหตุที่สามารถเกิดขึ้นได้จากบริเวณขอบวงกบประตูและหน้าต่าง เป็นอีกหนึ่งจุดที่สามารถทำให้เกิดรอยรั่วและมีน้ำซึม ดูง่าย ๆ ว่ามีคราบน้ำเกิดขึ้นตามขอบวงกบเหล่านั้นรึเปล่า ถ้าชื้นหรือมีคราบน้ำนั่นแสดงว่าเกิดรอยรั่วจากวงกบแน่นอน อาจหาซิลิโคนหรือลองดูว่ามีรอยแตกร้าวตรงผนังก็ให้หาทางรีบซ่อมแซมด่วน



5
ซ่อมบำรุงอาคาร: 5 เทคนิคง่าย ๆ ในการตรวจหารอยแตกร้าวรั่วซึม

สภาพดินฟ้าอากาศที่แปรปรวนในช่วงรอยต่อของฤดูกาลแบบนี้ ก็มักจะมีพายุฝนเข้ามาบ่อยครั้ง ทำให้ฝนตกกระหน่ำ หากบ้านที่เราพักอาศัยผ่านกาลเวลามานานก็อาจจะพบเจอกับปัญหารอยรั่วแตกราว เมื่อมีฝนตกก็มีโอกาสที่น้ำจะไหลซึมเข้ารอยแตกร้าวและมีโอากาสที่จะสร้างความเสียหายให้กับโครงสร้าง หรือข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านได้ หากเราพบเจอปัญหาความเสียหายของตัวบ้านก็ควรจะเรียกช่างมาซ่อมแซม ก่อนจะเข้าฤดูฝนอย่างจริงจังในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

เราจึงนำวิธีการสังเกตุและวิธีการตรวจสอบมาแนะนำให้คุณสามารถตรวจหารอยรั่วด้วยตัวเองกับ 5 เทคนิคง่าย ๆ ในการตรวจหารอยแตกร้าวรั่วซึม รับรองว่านำไปใช้ได้จริงแน่นอน

1. สังเกตจากฝ้า
วิธีแรกเป็นการสังเกตแบบมาตรฐานทั่ว ๆ ไป ให้สังเกตจากฝ้า ดูคราบน้ำตามขอบฝ้าจะมีร่องรอยของน้ำอยู่ หรือไม่ก็สังเกตที่สีทาฝ้าก็ได้ จะมีคราบเป็นดวง ๆ ด่าง ๆ ถ้าเห็นแบบนี้ ชัวร์เลยว่าหลังคารั่วแน่ ๆ จากนั้นให้หาดินสอมามาร์คเอาไว้ หรือจะถ่ายรูปให้ช่างดูก็ได้จะเห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น ปัญหาของการเกิดน้ำรั่วอยู่ที่ หลังคา เจ้าของบ้านควรดูและและหมั่นตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งถ้าเป็นบ้านเก่าด้วยล่ะก็ อาจเกิดจากความเสื่อมสภาพได้ เช่น สกรูยึดหลังคาหลวม กระเบื้องหลังคาแตกร้าว เป็นต้น ควรหาช่างที่มีความชำนาญมาเช็ค หากพบว่าแตกหรือรั่วก็ควรรีบเปลี่ยนโดยด่วน

2. ดูจากแสงที่ลอดลงมาใต้หลังคา
วิธีต่อมาอาจต้องปีนดูใต้หลังคาแล้วสังเกตว่ามีจุดไหนที่แสงสว่างลอดส่องลงมาจากหลังคาบ้าง ถ้าเห็นแบบนั้นแล้ว หลังคาบ้านคุณรั่วแน่ ๆ แต่ถ้าบ้านไหนมีจุดเปิด หรือช่องเซอร์วิสบางจุดล่ะก็ วิธีเดียวที่จะช่วยได้ก็คือ การหารอยหรือคราบน้ำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

3. ทำฝนเทียมให้รู้กันไปเลย
อีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ ที่ทำได้เองคือ การใช้สายยางฉีดน้ำรดไปบนหลังคาโดยตรง ฉีดไปทั่ว ๆ นาน ๆ ให้คนนึงฉีดอีกคนนึงคอยสังเกตการณ์อยู่ด้านล่าง ถ้ารั่วจริงก็จะเห็นเป็นคราบน้ำไม่ก็หยดลงมาเป็นสาย ให้เราเห็นคาตาเลย แต่ไม่แนะนำให้ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงมาใช้ เพราะอาจทำให้หลังคาเสียหายได้ จากที่ไม่มีปัญหาก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่เลยล่

4. ดูจากภายนอกบ้าน
วิธีนี้อาจต้องใช้ทักษะในการสังเกตมากหน่อย ตรวจดูว่าบนกระเบื้องมีรอยแตก รอยร้าวบ้างมั๊ย หรือไม่ก็ดูที่รอยต่อของกระเบื้อง บริเวณน็อตหลังคาหลุดหรือหลวมมั้ย ดูรูปทรงหลังคาว่าได้ระดับดี มีความสมมาตรมั้ย ต้องดูว่าไม่เอียงหรือบิดเบี้ยว ไม่เผยอ ครอบหลังคาปิดมิดชิดหรือไม่ รวมไปถึงมีอุปกรณ์ยึดหลังคาครบถ้วน และอยู่ในสภาพดีมั้ย

5. บริเวณวงกบประตูและหน้าต่างผิดปกติมั้ย
นอกจากปัญหาหลังคารั่วแล้ว อีกสาเหตุที่สามารถเกิดขึ้นได้จากบริเวณขอบวงกบประตูและหน้าต่าง เป็นอีกหนึ่งจุดที่สามารถทำให้เกิดรอยรั่วและมีน้ำซึม ดูง่าย ๆ ว่ามีคราบน้ำเกิดขึ้นตามขอบวงกบเหล่านั้นรึเปล่า ถ้าชื้นหรือมีคราบน้ำนั่นแสดงว่าเกิดรอยรั่วจากวงกบแน่นอน อาจหาซิลิโคนหรือลองดูว่ามีรอยแตกร้าวตรงผนังก็ให้หาทางรีบซ่อมแซมด่วน

6
จัดฟันบางนา: ฝังรากฟันเทียม ต้องระวังอะไรเป็นพิเศษหรือไม่?

การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากในการแก้ไขปัญหาการสูญเสียฟันธรรมชาติไป รากฟันเทียมเป็นวัสดุที่มีรูปร่างคล้ายรากฟัน ซึ่งทำมาจากวัสดุไทเทเนี่ยมที่มีความแข็งแรง ทนทาน ซึ่งเป็นวัสดุที่สามารถเข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ดีและใช้สำหรับฝังลงไปบนกระดูกขากรรไกรที่ใช้รองรับรากฟันเทียม เพื่อช่วยให้การทำรากฟันเทียมทั้งแบบติดแน่นและแบบถอดได้ ซึ่งในปัจจุบันการฝังรากฟันเทียม ถือเป็นวิธีการใส่ฟันปลอมที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง ทั้งยังมีผลการรักษาที่แม่นยำ เนื่องด้วยมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการรักษาทำให้สามารถกำหนดตำแหน่งที่จะทำการฝังรากฟันเทียมได้อย่างแม่นยำ อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมนั้น ก็มีข้อจำกัดอยู่หลายข้อ


สำหรับผู้ที่ต้องการฝังรากฟันเทียม ต้องเป็นผู้ที่มีการสูญเสียฟันธรรมชาติและต้องการกลับมาบดเคี้ยวอาหารได้อย่างเต็มที่ และยังทำให้ฟันที่เหลืออยู่มีความแข็งแรงมากขึ้น กลับมามีรอยยิ้มที่สดใส สามารถพูดคุยได้อย่างมั่นใจ ในวันนี้คลินิกเราจะมาพูดถึงการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ซึ่งหลายคนที่เข้ารับการรักษา ก็มีข้อสงสัยว่าการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมนั้น จะต้องระมัดระวังเรื่องใดเป็นพิเศษหรือไม่ เป็นที่ทราบกันดีว่ากันฝังรากฟันเทียมนั้น จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างมากเป็นพิเศษ และต้องระมัดระวังในหลายหลายเรื่องเพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา

แต่ก่อนอื่นจะพูดถึงการระมัดระวังระหว่างทำการฝังรากฟันเทียมนั้น เรามาพูดถึงข้อจำกัดที่ผู้ที่ต้องการจะรักษาด้วยการฝังรากฟันเทียม จะต้องทราบก่อนว่ามีข้อจำกัดอะไรบ้างและใครที่ไม่สามารถเข้ารับการรักษาได้ เพราะโดยทั่วไปแล้วการรักษาด้วยการฝังรากฟันเทียม สามารถทำได้ทุกคนและไม่มีการกำหนดในช่วงของอายุแต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่ทำให้ผู้ต้องการทดแทนฟัน ไม่สามารถจะทำรากฟันเทียมได้ นั่นก็คือผู้ที่มีอายุยังไม่ถึง 18 ปี เนื่องจากกระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ผู้หญิงตั้งครรภ์ควรรอให้คลอดบุตรก่อนเข้ารับการรักษา


ด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม รวมไปถึงผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพต่าง ๆเช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เสี่ยงต่อการเลือดไหลไม่หยุดนั่นเอง รวมไปถึงผู้ที่มีโรคปริทันต์อักเสบรุนแรง หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ก็ไม่สามารถเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมได้ รวมไปถึงผู้ป่วยจิตเภทที่มีปัญหาในเรื่องของการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อหรือผู้ป่วยที่ไม่สามารถดูแลรักษาสุขภาพช่องปากเองได้ นอกจากนี้การใช้ชีวิตประจำวันก็มีผลต่อข้อจำกัดในเรื่องของการทำรากฟันเทียม นั่นก็คือผู้ที่สูบบุหรี่จัดซึ่งการสูบบุหรี่จะส่งผลต่อความสำเร็จในการทำรากฟันเทียม เนื่องจากบุหรี่เป็นสาเหตุหลักทำให้สุขภาพฟันมีปัญหาจึงไม่เหมาะที่จะเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม


สำหรับข้อระมัดระวังในเรื่องของการฝังรากฟันเทียมที่หลายคนสงสัยว่า เมื่อทำการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมไปแล้วนั้น จะต้องระมัดระวังอะไรให้มากเป็นพิเศษอย่างแรกเลยคือการรับประทานอาหารซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะต้องระมัดระวังเพราะผู้เข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม จะต้องงดรับประทานอาหารที่มีความแข็ง ความเหนียว หรืออาหารที่ต้องใช้แรงในการบดเคี้ยวอาหารค่อนข้างมาก เพราะจะส่งผลให้เกิดการกระทบกระเทือนของรากฟันเทียมได้ ซึ่งบางครั้งผู้เข้ารับการรักษาบางราย เมื่อรับประทานอาหารที่มีความแข็งแล้วทำให้ส่งผลไปยังรากฟันเทียม ทำให้เกิดการหลุดออกมา


ซึ่งจะสามารถแก้ไขได้ยากและมีขั้นตอนที่ซับซ้อน ต่อมาคือเรื่องของทำความสะอาดช่องปากและฟัน ถือเป็นเรื่องที่ต้องพิถีพิถันเอาใจใส่ดูแลให้มากเป็นพิเศษ เพราะสุขภาพของช่องปากและฟันของเรานั้น ต้องได้รับการดูแลยิ่งผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ยิ่งต้องระมัดระวังต้องดูแลเอาใจใส่ให้มาก เพราะนอกจากจะทำให้มีสุขภาพฟันที่ดีแล้วยังส่งผลต่อระยะเวลาการใช้งานของรากฟันเทียมอีกด้วย นอกจากนี้การดูแลรักษารากฟันเทียมให้มีอายุการใช้งานที่นานขึ้น โดยปกติแล้วรักฟันที่ทำจากไทเทเนี่ยมจะมีความคงทน ความแข็งแรงสูงมาก และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากผู้เข้ารับการรักษาเพราะรากฟันเทียม จะไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ หากดูแลไม่ดีซึ่งการดูแลรากฟันเทียม ก็ไม่ต่างจากการรักษาความสะอาดฟันธรรมชาติ คือผู้เข้ารับการรักษาควรแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันน้ำยาบ้วนปาก และต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำปี

ทั้งนี้หากคุณสนใจเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม สามารถขอเข้ารับคำปรึกษาจากทีมทันตแพทย์ของทางคลินิกได้ เนื่องจากทางเรามีความเชี่ยวชาญในเรื่องของรากฟันเทียมมีประสบการณ์ในการรักษาทางทันตกรรมมาอย่างยาวนาน จึงมั่นใจได้ว่าจะทำให้คุณกลับมามีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง รวมไปถึงกลับมามีรอยยิ้มที่สวยงามสามารถใช้งานฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย

7
เด็กควรจัดฟันเด็กตอนอายุเท่าไหร่

การจัดฟัน ถือได้ว่า เป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพแล้ว การจัดฟันยังเป็นเทรนด์ยอดฮิตในหมู่วัยรุ่นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การจัดฟันถือว่าสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้แทบทุกกรณีไม่ว่าจะเป็น ปัญหาฟันซ้อน ฟันเก ฟันห่าง หรือแม้กระทั่งคนที่เคยผ่านการจัดฟันมาแล้ว แต่ไม่สวมใส่รีเทนเนอร์ ก็อาจจะต้องเข้ารับการจัดฟันอีกรอบ แต่ในกรณีของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กนั้น มีความสำคัญมาก เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะปลูกฝังหรือเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของบุตรหลานของท่านให้มาก เพราะการขึ้นของฟันแม้นั้น ก็มีผลมาจากฟันน้ำนมด้วยเช่นเดียวกัน

ดังนั้น การดูแลฟันตั้งแต่อายุยังน้อย ถือว่ามีความสำคัญมากเลยทีเดียว พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์เพื่อทำการตรวจช่องปากและฟันเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2ครั้ง หรือถ้าหากบุตรหลานของท่านมีปัญหาในเรื่องของรูปร่างของฟัน หรือลักษณะการขึ้นของฟันแม้ที่มีความผิดปกติ ก็สามารถพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟัน ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น สามารถทำได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะมีนวัตกรรมรูปแบบใหม่ที่สามารถจัดฟันเด็กได้ แต่ผู้ปกครองหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า การจัดฟันในเด็กนั้น สามารถจัดได้ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เลยทีเดียว และวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็ก ว่าควรเข้ารับการจัดฟันตอนอายุเท่าไหร่ เพื่อที่จะได้ตัดสินใจหรือเป็นแนวทางในการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สำหรับบุตรหลานของท่าน

ซึ่งปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กนั้น ก็มีด้วยกันหลักหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นการรับประทานของหวาน ซึ่งในวัยเด็กนั้นการรับประทานขนมหรือลูกอม ถือเป็นเรื่องที่ปกติและเด็กบางคนก็ชื่นชอบการรับประทานของหวานแต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองจะต้องดูแลด้วยเช่นกัน เพราะการที่เด็กรับประทานขนมหรือลูกอม ถือเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดฟันผุในวัยเด็ก นอกจากนี้ ปัญหาในเรื่องของการสบฟันที่ผิดปกติ ก็ส่งผลให้เด็กมีรูปร่างของฟันที่ไม่สวยงาม สาเหตุของการสบฟัน ที่ผิดปกติ อาจจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมเพราะเด็กบางคน มีขนาดขากรรไกรเล็ก ไม่สมดุลกับจำนวนซี่ของฟัน ทำให้เกิดฟันซ้อนหรือบางคนมีขากรรไกรที่ยื่น ก็อาจจะทำให้ฟันสบคร่อม


โดยสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้ารับการจัดฟัน นอกจากนี้ ในเรื่องของสภาพแวดล้อมหรือพฤติกรรมบางอย่างก็อาจส่งผลให้เด็กมีฟันซ้อน ฟันเกได้ เช่น พฤติกรรมการดูดนิ้ว ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ฟันหน้าอยู่ ในตำแหน่งที่ผิด ทำให้เกิดการสบฟันที่ผิดปกติขั้นรุนแรงได้เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น การเข้ารับการจัดฟันในวัยเด็กนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้แม้ว่าการจัดฟันอาจจะไม่ได้จำเป็นสำหรับเด็กทุกคน แต่การที่พ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานของท่านไปตรวจกับทันตแพทย์เป็นประจำก็สามารถแก้ไขปัญหาได้และถ้าหากพบสัญญาณของความผิดปกติก็ควรที่จะรีบแก้ไข


สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้นสามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 7-15 ปี ซึ่งในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่ฟันน้ำนมหลุดหมดแล้วและมีฟันแท้ขึ้นครบแล้ว เป็นวัยและช่วงอายุที่ควรจะเข้ารับการจัดฟัน ซึ่งในวัยนี้ถ้าหากตรวจพบสัญญาณผิดปกติก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ซึ่งการจัดฟันในวัยนี้จะช่วยลดปัญหาฟันผุขั้นรุนแรงได้ นอกจากนี้ ทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาก็อาจจะช่วยหาทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับฟันได้


ดังนั้น การจัดฟันในเด็กถือว่าช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กได้หลายอย่างทำให้เด็กมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม มีรอยยิ้มที่สดใส และสามารถทำความสะอาดฟันได้ง่ายขึ้น ซึ่งเรื่องของความสะอาดในช่องปากและฟันนั้นถือเป็นเรื่องสุขอนามัยที่ทุกคนควรที่จะเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษด้วย หากพ่อแม่ผู้ปกครองสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็ก จึงมั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีรอยยิ้มที่สดใสสมวัยอย่างแน่นอน

8
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ผมร่วงจากการทำผม

ปัญหาผมร่วงจากการทำผม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยและสร้างความกังวลให้หลายคน สาเหตุหลักเกิดจากการที่เส้นผมและหนังศีรษะได้รับความเสียหายจากสารเคมีและความร้อนที่ใช้ในกระบวนการทำผม


สาเหตุที่ทำให้ผมร่วง

การยืดผมและดัดผม: น้ำยาเคมีที่ใช้ในการยืดและดัดผมจะเข้าไปเปลี่ยนโครงสร้างเส้นผม ทำให้เส้นผมอ่อนแอลงและขาดหลุดร่วงได้ง่าย

การทำสีผม: สารเคมีในน้ำยาย้อมผม โดยเฉพาะสารฟอกสีผม จะทำลายโปรตีนในเส้นผม ทำให้เส้นผมแห้งกรอบและขาดง่าย

การทำผมด้วยความร้อน: การใช้ความร้อนสูงเป็นประจำ เช่น การไดร์ผม, หนีบผม, หรือม้วนผม จะทำลายโปรตีนในเส้นผมและทำให้ผมขาดง่าย

การถักผมแน่นเกินไป: การถักผมแน่นๆ หรือการรวบผมตึงเป็นประจำจะดึงรั้งรากผม ทำให้รากผมอ่อนแอและหลุดร่วงได้ง่าย ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะผมร่วงจากแรงดึง (Traction Alopecia)

การใช้สารเคมีหลายอย่างพร้อมกัน: เช่น การดัดผมและทำสีผมในคราวเดียวกัน ทำให้เส้นผมอ่อนแออย่างหนักและอาจขาดจนหลุดร่วงในปริมาณมาก


วิธีดูแลและฟื้นฟูเส้นผม

หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหาผมร่วงจากการทำผม ลองปรับวิธีการดูแลตัวเองดังนี้

ลดการใช้สารเคมี: พักการทำสีผม ยืดผม หรือดัดผมสักระยะ เพื่อให้เส้นผมและหนังศีรษะได้ฟื้นตัว

บำรุงด้วยทรีทเม้นท์: ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผมที่เน้นการฟื้นฟูผมแห้งเสีย เช่น มาส์กผม, ครีมนวดผม, หรือทรีทเม้นท์ที่มีส่วนผสมของโปรตีน

หลีกเลี่ยงความร้อน: ลดการใช้ความร้อนในการจัดแต่งทรงผม หรือใช้สเปรย์ป้องกันความร้อนก่อนทุกครั้ง

เลือกแชมพูที่อ่อนโยน: ใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนที่ปราศจากซัลเฟตและพาราเบน เพื่อลดการระคายเคืองหนังศีรษะ

นวดหนังศีรษะเบาๆ: การนวดหนังศีรษะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้รากผมแข็งแรงขึ้น

หากปัญหาผมร่วงยังคงอยู่และมีปริมาณมาก ควรรีบไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมและหนังศีรษะ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่ถูกต้องค่ะ

9
หมอออนไลน์: ปีกมดลูกอักเสบ (Salpingitis) เยื่อบุมดลูกอักเสบ (Endometritis)

ปีกมดลูกอักเสบ (salpingitis) หมายถึง การอักเสบของท่อรังไข่

เยื่อบุมดลูกอักเสบ (endometritis) หมายถึง การอักเสบของเยื่อบุภายในโพรงมดลูก (โพรงมดลูกอักเสบ มดลูกอักเสบ ก็เรียก)

ทั้ง 2 โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยในหญิงวัยเจริญพันธุ์ (15-45 ปี) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผ่านช่องคลอดเข้าไปทางปากมดลูก ขึ้นไปในโพรงมดลูก (ทำให้เยื่อบุมดลูกอักเสบ) และถ้าหากลุกลามต่อไปในท่อรังไข่และรังไข่ ก็ทำให้กลายเป็นปีกมดลูกอักเสบ (ซึ่งอาจเกิดกับปีกมดลูกทั้ง 2 ข้างหรือข้างใดข้างหนึ่ง) หากไม่รักษาเชื้ออาจแพร่กระจายไปบริเวณข้างเคียงในระบบสืบพันธุ์ และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้

ทั้ง 2 โรคนี้บางครั้งจึงอาจพบร่วมกันจนแยกจากกันไม่ออก และมักจะเรียกรวม ๆ กันว่า อุ้งเชิงกรานอักเสบ (pelvic inflammatory disease/PID) ซึ่งครอบคลุมถึงการอักเสบของเยื่อบุโพรงมดลูก ท่อรังไข่ รังไข่ และเยื่อบุช่องท้องภายในอุ้งเชิงกราน โรคนี้บางคนอาจเป็นโดยไม่รู้ตัวเพราะไม่มีอาการ ส่วนผู้ที่มีอาการอาจมีอาการแบบเฉียบพลัน (มีไข้ ปวดท้องรุนแรง) หรือแบบเรื้อรัง ซึ่งมักพบในผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่ได้ครบถ้วนตามที่แพทย์แนะนำ และอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย

โรคนี้พบบ่อยในผู้หญิงที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และอาจพบในผู้หญิงที่คลอดบุตร แท้งบุตร ขูดมดลูก ใส่ห่วงคุมกำเนิด หรือชอบสวนล้างช่องคลอดเอง


สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่เป็นเชื้อหนองใน และคลามีเดีย (หนองในเทียม) อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่เป็นปกติวิสัย (ประจำถิ่น) ในช่องคลอด (เช่น เชื้อสเตรปโตค็อกคัส สแตฟีโลค็อกคัส) ซึ่งจะเข้าไปในโพรงมดลูกจากการคลอดบุตร แท้งบุตร ขูดมดลูก ใส่ห่วงคุมกำเนิด หรือการสวนล้างช่องคลอด

การติดเชื้ออาจเกิดสาเหตุสำคัญ ดังนี้

1. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปีกมดลูกอักเสบหรืออุ้งเชิงกรานอักเสบ เชื้อที่พบบ่อย ได้แก่ เชื้อหนองใน (โกโนค็อกคัส) และเชื้อหนองในเทียม (คลามีเดียทราโคมาติส)

2. การติดเชื้อหลังคลอด (puerperal infection) อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่เป็นปกติวิสัย (ประจำถิ่น) ในช่องคลอด (เช่น เชื้อสเตรปโตค็อกคัส สแตฟีโลค็อกคัส) ระหว่างคลอดมีปัจจัย (เช่น ภาวะโลหิตจาง ภาวะถุงน้ำแตกรั่วอยู่นาน การคลอดยาก การบาดเจ็บ ภาวะตกเลือดหลังคลอด เศษรกค้าง ภาวะครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น) กระตุ้นให้เชื้อเหล่านี้เจริญขึ้นจนเป็นโรค หรือไม่ก็อาจแปดเปื้อนเชื้อจากภายนอกช่องคลอดเข้าไปในช่องคลอดและมดลูก ทำให้เกิดเยื่อบุมดลูกอักเสบได้ มักมีอาการหลังคลอด 24 ชั่วโมง

3. การทำแท้ง หากไม่สะอาดมักทำให้มีเชื้อโรคเข้าในมดลูก เกิดการอักเสบขึ้นได้ เรียกว่า การแท้งติดเชื้อ (septic abortion)


อาการ

ในรายที่เป็นเฉียบพลัน มักมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดท้องน้อย ตกขาวออกเป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น อาจมีอาการปวดหลัง คลื่นไส้ อาเจียน ในรายที่เกิดจากการติดเชื้อหนองใน อาจมีอาการขัดเบา ปัสสาวะปวดแสบขัดร่วมด้วย

ถ้าเป็นการติดเชื้อหลังคลอด มักเกิดอาการหลังคลอด 24 ชั่วโมง น้ำคาวปลาอาจออกน้อยหรือมาก และมีกลิ่นเหม็น

ถ้าเกิดจากการทำแท้งจะมีอาการแบบแท้งบุตร (ปวดบิดท้องเป็นพัก ๆ และมีเลือดออกจากช่องคลอด) ร่วมด้วย

ในรายที่เป็นอุ้งเชิงกรานอักเสบเรื้อรัง อาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน ได้แก่ อาการปวดท้องน้อย 1-2 ข้าง ปวดเสียดหลังส่วนล่าง ปวดประจำเดือน ประจำเดือนออกมากหรือกะปริดกะปรอย มีตกขาวเป็นสีเหลืองหรือเขียวและมีกลิ่นเหม็น ปวดขัดหรือปวดแสบเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย มีอาการปวดท้องน้อย หรือมีเลือดออกเวลามีเพศสัมพันธ์

มักมีอาการเกิดขึ้นในช่วงหลังมีประจำเดือน อาจมีอาการในช่วงสั้น ๆ แล้วหายไปเองโดยไม่ได้รักษา บางรายอาจมีอาการแบบเฉียบพลัน (มีไข้ ปวดท้องน้อย) กำเริบเป็นครั้งคราว


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดเป็นฝีในรังไข่หรือท่อรังไข่ ซึ่งจะทำให้เป็นแผลเป็นจนกลายเป็นหมันได้ และมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกมากกว่าปกติ

การเกิดแผลหรือพังผืดในท่อรังไข่ มักทำให้มีอาการปวดท้องน้อย (อุ้งเชิงกราน) เรื้อรังเป็นปี ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักปวดเวลามีเพศสัมพันธ์ และช่วงที่มีไข่ตก

นอกจากนี้ในบางรายเชื้อโรคอาจลุกลาม จนทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ถ้ารุนแรงอาจกลายเป็นโลหิตเป็นพิษถึงเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดจากการทำแท้ง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย (รวมทั้งการตรวจภายใน)

ในรายที่มีอาการแบบเฉียบพลัน มักตรวจพบไข้สูง กดเจ็บมากตรงบริเวณท้องน้อยทั้ง 2 ข้าง (บางรายอาจเจ็บข้างเดียว ถ้าเป็นข้างขวาจำเป็นต้องตรวจแยกโรคให้ชัดว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบหรือปีกมดลูกอักเสบ)

อาจได้กลิ่นของตกขาว เลือดประจำเดือน หรือน้ำคาวปลา

อาจพบอาการซีด หรือภาวะช็อกในรายที่เป็นรุนแรง

ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ นำหนองในช่องคลอดไปตรวจหาเชื้อ รวมทั้งอาจทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น อัลตราซาวนด์ ใช้กล้องส่องตรวจช่องท้อง (laparoscopy) เอกซเรย์โพรงมดลูกและท่อนำไข่ (โดยการฉีดสารทึบรังสีเข้าสู่โพรงมดลูกและท่อนำไข่) ตรวจชิ้นเนื้อเยื่อบุมดลูก (endometrial biopsy) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

ในรายมีอาการรุนแรง กำลังตั้งครรภ์ สงสัยมีฝีในรังไข่หรือท่อรังไข่ หรือใช้ยาปฏิชีวนะชนิดกินไม่ได้ผล แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้การรักษาตามอาการ (เช่น ให้ยาแก้ปวด ลดไข้ ให้น้ำเกลือ ให้เลือดถ้าซีด) และให้ยาฏิชีวนะตามเชื้อที่ก่อโรค ซึ่งมักเป็นยาที่สามารถรักษาครอบคลุมเชื้อหนองในและหนองในเทียม (เชื้อคลามีเดีย) โดยใช้ยาชนิดฉีดในระยะแรก ๆ ก่อน

ถ้าอาการไม่รุนแรง ก็ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก (ไม่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล) โดยให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเช่นเดียวกัน

ยาปฏิชีวนะมีทั้งชนิดฉีดและชนิดกิน ซึ่งมีให้เลือกหลายขนาน โดยใช้ยา 2-3 ชนิดร่วมกัน และมักให้ยานาน 14 วัน

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อน ที่สำคัญคือ การเกิดหนองหรือฝีในบริเวณปีกมดลูก จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด แพทย์นิยมใชัวิธีผ่าตัดแบบส่องกล้องระบายหนองออก และรักษาท่อรังไข่ที่เกิดแผลหรือพังผืดสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการมีบุตรในอนาคต

ผลการรักษา ถ้าได้รับการรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม และได้ยาปฏิชีวนะอย่างครบถ้วน ก็จะหายเป็นปกติได้ แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษา หรือได้ยาไม่ครบถ้วน ก็อาจกลายเป็นอุ้งเชิงกรานอักเสบเรื้อรัง และอาจมีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา ในรายที่เป็นรุนแรง เช่น การติดเชื้อจากการทำแท้ง (การแท้งติดเชื้อ) หากรักษาล่าช้าไป อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงถึงเสียชีวิตได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดท้องน้อย ตกขาวออกเป็นหนอง มีประจำเดือนออกมาก และมีกลิ่นเหม็น หรือหลังคลอด 24 ชั่วโมงมีน้ำคาวปลาออกน้อยหรือมากและมีกลิ่นเหม็น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นปีกมดลูกอักเสบ หรือเยื่อบุมดลูกอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
    มีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปวดท้องรุนแรง ตกขาวมากและมีกลิ่นเหม็น อาเจียนมาก กินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย ลุกนั่งหน้ามืดจะเป็นลม เป็นต้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอดเอง 

2. ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย เช่น ใช้ถุงยางอนามัย

3. ปรึกษาแพทย์ในการใช้วิธีคุมกำเนิดที่ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลีกเลี่ยงการใส่ห่วงคุมกำเนิด

4. ควรงดการร่วมเพศ หรือสวนล้างช่องคลอด เป็นเวลาประมาณ 6 สัปดาห์ ภายหลังการคลอดบุตร แท้งบุตร หรือการขูดมดลูก เนื่องเพราะเป็นช่วงที่เยื่อบุมดลูกอ่อนแอ ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย

5. สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ (ไม่อยากได้บุตรในครรภ์) ไม่ควรทำแท้งกันเอง หรือใช้เครื่องมือสกปรกในการทำแท้ง เพราะอาจติดเชื้อรุนแรงถึงตายได้ ทางที่ดีควรขอคำแนะนำจากแพทย์โดยตรง

6. ถ้าสงสัยว่าติดเชื้อหนองในจากสามี (เช่น สามีมีอาการปัสสาวะขัด หรือมีหนองไหลจากท่อปัสสาวะ) ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการรักษาเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะลุกลามเป็นปีกมดลูกอักเสบ


ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยควรงดการร่วมเพศนาน 3-4 สัปดาห์ จนกว่ามดลูกจะฟื้นตัวแข็งแรงดี

2. ผู้ป่วยที่ใส่ห่วงคุมกำเนิด ควรเอาห่วงออก และแนะนำให้คุมกำเนิดโดยวิธีอื่นแทน

3. ถ้าเกิดจากเชื้อหนองใน ต้องรักษาสามีพร้อมกันไปด้วย มิเช่นนั้นอาจติดเชื้อจากสามีซ้ำซาก และเกิดอาการกำเริบได้อีก

4. ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ควรรับการรักษาอย่างจริงจังและกินยาให้ครบตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ อย่าปล่อยให้เชื้อลุกลามเป็นเรื้อรัง ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตราย หรืออาจทำให้เป็นหมันได้

5. โรคนี้อาจแสดงอาการภายหลังการมีประจำเดือน ซึ่งอาการมีไข้หลังมีประจำเดือน ชาวบ้านนิยมเรียกว่า ไข้ทับระดู (ถ้ามีประจำเดือนหลังไข้ เรียกว่า ระดูทับไข้) และมีความเชื่อว่า ห้ามฉีดยา มิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายได้ ความจริงแล้วอาการไข้ทับระดู หรือระดูทับไข้ นั้นมีสาเหตุจากไข้อะไรก็ได้ (เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ มาลาเรีย ไทฟอยด์ เป็นต้น) แต่บังเอิญมาประจวบเหมาะกับการมีประจำเดือนเข้า โดยไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุเกี่ยวข้องกับประจำเดือนแต่อย่างใด

แต่ที่อาจเกี่ยวข้องกับการมีประจำเดือน ก็ได้แก่ ปีกมดลูกอักเสบหรือเยื่อบุมดลูกอักเสบ เข้าใจว่าคงเคยมีคนที่เป็นโรคนี้ไปฉีดยาประเภทเพนิซิลลิน (ซึ่งเป็นยาที่นิยมใช้กันในสมัยก่อน และเป็นยาที่ทำให้แพ้ได้ง่าย) แล้วบังเอิญเกิดการแพ้ยาถึงตายขึ้นมา จึงทำให้เกิดความเชื่อเรื่องห้ามฉีดยาขึ้นมาก็ได้

ความจริงก็คือ ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องการแพ้ยา และถ้ามีความจำเป็นต้องฉีดยาในผู้ป่วยที่มีไข้ร่วมกับการมีประจำเดือน ก็สามารถกระทำได้แบบเดียวกับผู้ป่วยทั่วไป



10
โปรแกรมหมอประจำบ้านอัจริยะ: ต้อหิน (Glaucoma)

ต้อหิน หมายถึง ภาวะที่มีความผิดปกติภายในลูกตา ทำให้ประสาทตาเสื่อม เกิดอาการตามัวตาบอดได้ ส่วนใหญ่มักพบว่ามีความดันลูกตาสูง (high intraocular pressure)*

ต้อหินเป็นโรคที่พบได้ค่อนข้างบ่อย และพบมากขึ้นตามอายุ พบได้ประมาณร้อยละ 3 ของผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และประมาณร้อยละ 6 ของผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ถือว่าเป็นโรคตาที่ร้ายแรงชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการตาบอดถาวร

ส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ผู้ป่วยมักมีประวัติโรคต้อหินในครอบครัว นอกจากนี้ โรคนี้ยังพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด สายตายาว สายตาสั้นชนิดรุนแรง การได้รับบาดเจ็บที่ตา หรือผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ (โดยเฉพาะยาหยอดตาสเตียรอยด์) ติดต่อกันนาน ๆ

*ปกติภายในลูกตาจะมีการสร้างของเหลวหลายอย่าง ของเหลวที่สำคัญอันหนึ่งอยู่ตรงช่องว่างระหว่างกระจกตากับแก้วตา ซึ่งเรียกว่า ช่องลูกตาหน้า (anterior chamber) ของเหลวชนิดนี้มีลักษณะใส เรียกว่า น้ำเลี้ยงลูกตา (aqueous humor) ซึ่งจะไหลเวียนจากด้านหลังของม่านตา (iris) ผ่านรูม่านตา (pupil) เข้าไปในช่องลูกตาหน้า แล้วระบายออกนอกลูกตาโดยผ่านมุมแคบ ๆ ระหว่างม่านตากับกระจกตาดำเข้าไปในตะแกรงระบายเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า ท่อชเลมส์ (Schlemm’s canal) เข้าสู่หลอดเลือดดำที่อยู่นอกลูกตา

น้ำเลี้ยงในลูกตา ก่อให้เกิดแรงดันภายในลูกตา (ซึ่งช่วยพยุงรูปทรงของลูกตาให้ทำหน้าที่ได้เป็นปกติ) เรียกว่า "ความดันลูกตา (intraocular pressure/IOP)" ร้อยละ 95 ของคนทั่วไปจะมีความดันลูกตา 10-21 มม.ปรอท (เฉลี่ย 15-16 มม.ปรอท) ถ้าความดันลูกตามีค่ามากกว่า 21 มม.ปรอท ก็ถือว่าเป็นความดันลูกตาสูง

ถ้าหากการระบายของน้ำเลี้ยงลูกตาดังกล่าวเกิดการติดขัดด้วยสาเหตุใดก็ตาม ก็จะทำให้มีการคั่งของน้ำเลี้ยงลูกตา และทำให้ความดันภายในลูกตาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นโรคต้อหิน หากปล่อยทิ้งไว้ ขั้วประสาทตา (optic disc) ตรงส่วนหลังของจอตาถูกทำลาย ขั้วประสาทตาเป็นตัวนำกระแสประสาทการมองเห็นไปสู่สมอง ซึ่งเมื่อขั้วประสาทตาถูกทำลายจะทำให้สูญเสียลานสายตาลงทีละน้อย จนกลายเป็นตาบอดอย่างถาวรในที่สุด

แม้ว่าผู้ที่เป็นต้อหินส่วนใหญ่มักพบร่วมกับภาวะความดันลูกตาสูง แต่ผู้ป่วยต้อหินบางรายอาจมีความดันลูกตาปกติก็ได้ เรียกว่า "Normal pressure glaucoma/Normal-tension glaucoma" ซึ่งจะพบในผู้ป่วยที่เป็นต้อหินชนิดความดันลูกตาปกติ ซึ่งเป็นต้อหินมุมเปิด (open-angle glaucoma) ชนิดหนึ่ง

ผู้ที่มีภาวะความดันลูกตาสูงบางรายก็อาจไม่เกิดภาวะประสาทตาเสื่อม (กลายเป็นต้อหิน) ก็ได้ เรียกภาวะนี้ว่า "Ocular hypertension" อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นต้อหินตามมาได้ ซึ่งจำเป็นต้องติดตามดูอาการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ป่วยที่มีความดันลูกตามากกว่า 27 มม.ปรอท มีโอกาสสูงที่จะทำให้ประสาทตาถูกทำลาย ซึ่งแพทย์อาจพิจารณาให้ยาลดความดันลูกตาเพื่อป้องกันโรคต้อหิน

ต้อหินเกิดจากท่อระบายน้ำเลี้ยงลูกตาอุดตัน

สาเหตุ

ต้อหินสามารถแบ่งออกเป็นหลายชนิดขึ้นกับสาเหตุที่พบ ในที่นี้จะกล่าวถึงชนิดที่พบได้บ่อย ได้แก่

1. ต้อหินชนิดมุมเปิดมีความดันลูกตาสูง (primary open-angle glaucoma) เป็นต้อหินที่พบได้บ่อยกว่าชนิดอื่น พบได้ประมาณร้อยละ 70-80 ของโรคต้อหินทั้งหมด พบบ่อยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีช่องลูกตาหน้าและมุมระบายน้ำเลี้ยงลูกตากว้างตามปกติ แต่ท่อชเลมส์ซึ่งเป็นตะแกรงระบายน้ำเลี้ยงลูกตาเกิดการอุดกั้น ซึ่งค่อย ๆ เกิดขึ้นเป็นเวลาแรมปีโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้น้ำเลี้ยงลูกตาคั่งและความดันในลูกตาสูงขึ้น เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ คือ มักจะพบว่ามีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย นอกจากนี้ยังพบในผู้ที่สายตาสั้นชนิดรุนแรง หรือในผู้ป่วยเบาหวาน (ซึ่งมีภาวะแทรกซ้อนที่ตา โดยมีหลอดเลือดผิดปกติเกิดขึ้นในบริเวณกล้ามเนื้อม่านตาไปทำให้เกิดการอุดกั้นทางระบายน้ำเลี้ยงลูกตาที่อยู่ใกล้กัน)

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าตัวเองเป็นโรคนี้ เนื่องจากไม่มีอาการแสดงให้เห็น จนกระทั่งมีความผิดปกติของการเห็นเกิดขึ้นอย่างถาวรแล้ว ต้อหินชนิดนี้ได้ชื่อว่า "ต้อหินชนิดมุมเปิดแบบเรื้อรัง (chronic open-angle glaucoma)" ซึ่งจัดว่าเป็นโรคภัยเงียบชนิดหนึ่ง

2. ต้อหินชนิดมุมปิด (angle-closure glaucoma/closed-angle glaucoma/narrow-angle glaucoma) พบมากเป็นอันดับ 2 รองจากชนิดมุมเปิดที่มีความดันลูกตาสูง ผู้ป่วยมีโครงสร้างของลูกตาผิดแปลกไปจากคนปกติ คือมีช่องลูกตาหน้าแคบและตื้น จึงมีมุมระบายน้ำเลี้ยงลูกตา (มุมระหว่างกล้ามเนื้อม่านตากับกระจกตา) แคบกว่าปกติ ต้อหินชนิดนี้เกิดมากในผู้ที่สายตายาว เพราะมีกระบอกตาสั้นและช่องลูกตาหน้าแคบ และเกิดในผู้สูงอายุเป็นส่วนมาก เพราะแก้วตาจะหนาตัวขึ้นตามอายุ ทำให้ช่องลูกตาหน้าที่แคบอยู่แล้วยิ่งแคบมากขึ้นไปอีก จึงมีโอกาสเกิดต้อหินมากขึ้น

พบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ต้อหินชนิดนี้สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ จึงมักพบมีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคนี้ร่วมด้วย

ผู้ป่วยส่วนหนึ่งมีอาการเกิดขึ้นเฉียบพลัน เรียกว่า "ต้อหินชนิดมุมปิดแบบเฉียบพลัน (acute angle-closure glaucoma)" อาการมักเกิดขึ้นทันทีเมื่อมีสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อม่านตาหดตัว (รูม่านตาขยายตัว) เช่น อยู่ในที่มืดหรือโรงภาพยนตร์ มีอารมณ์โกรธ ตกใจ เสียใจ ใช้ยาหยอดตาที่เข้ากลุ่มยาอะโทรพีน หรือใช้ยาแอนติสปาสโมดิก ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้รูม่านตาขยาย เป็นต้น ก็จะทำให้มุมระบายน้ำเลี้ยงลูกตาถูกปิดกั้นฉับพลัน น้ำเลี้ยงลูกตาเกิดคั่งอยู่ในลูกตา ทำให้เกิดความดันในลูกตาสูงขึ้นฉับพลัน เป็นผลให้เกิดอาการต้อหินเฉียบพลัน ซึ่งอาจทำให้ตาบอดได้ในเวลาสั้น ๆ จัดเป็นภาวะฉุกเฉินทางตาของโรคนี้

ผู้ป่วยอีกส่วนหนึ่งมีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป เรียกว่า "ต้อหินชนิดมุมปิดแบบเรื้อรัง (chronic angle-closure glaucoma)" ผู้ป่วยจะมีอาการแบบเดียวกับโรคต้อหินเรื้อรัง มักไม่มีอาการในระยะแรก จนกว่าจะมีการสูญเสียการมองเห็นมากขึ้น แต่ต่อมาบางรายอาจเกิดการอุดกั้นของทางระบายน้ำเลี้ยงลูกตาแทรกซ้อนขึ้นฉับพลัน ก็จะเกิดอาการของโรคต้อหินแบบเฉียบพลันได้

3. ต้อหินชนิดความดันลูกตาปกติ (normal-tension glaucoma) เป็นต้อหินที่พบได้น้อยกว่า 2 ชนิดดังกล่าว มีลักษณะอาการแบบเดียวกับต้อหินมุมเปิดชนิดเรื้อรังที่มีความดันลูกตาสูง ต้อหินชนิดนี้มีความดันลูกตาปกติ (มักมีค่าต่ำกว่า 21 มม.ปรอท) แต่ประสาทตาถูกทำลายแบบเดียวกับต้อหินที่มีความดันลูกตาสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากประสาทตามีความไวต่อการถูกทำลาย หรืออาจเกิดจากการขาดเลือดไปเลี้ยงประสาทตาเนื่องจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบ (atherosclerosis เช่นที่พบในผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมองตีบ) หรือมีภาวะอื่นที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงประสาทตาได้น้อย

มักพบว่ามีประวัติต้อหินชนิดนี้ในครอบครัว หรือมีประวัติโรคหัวใจและหลอดเลือด ไมเกรน (เนื่องเพราะมีภาวะหลอดเลือดแดงตาตีบขณะไมเกรนกำเริบ) โรคภูมิต้านตัวเอง (ออโตอิมมูน) บางชนิด ภาวะเลือดหนืด หลอดเลือดหดตัวง่าย หรือความดันโลหิตต่ำในช่วงกลางคืน (low nocturnal blood pressure)

  4. เป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคตาอื่น ๆ เช่น ม่านตาอักเสบ ต้อกระจก เนื้องอกในลูกตา ปานแดงปานดำในลูกตา เลือดออกในลูกตา ตาถูกกระแทกแรง ๆ การผ่าตัดตา เป็นต้น

5. เกิดจากการใช้ยาหยอดตาที่เข้าสเตียรอยด์นาน ๆ ยานี้จะทำให้ความดันในลูกตาสูง ถ้าคนที่มีความดันในลูกตาสูงอยู่ก่อนแล้ว หากใช้ยานี้ก็จะเกิดโรคต้อหินได้ โดยมากจะเกิดอาการหลังหยอดยานาน 6-8 สัปดาห์ หลังหยุดยาความดันในลูกตาจะลดลงสู่ระดับเดิม

6. ต้อหินในเด็ก ซึ่งพบได้น้อย อาจมีอาการตั้งแต่เกิด หรือในช่วงอายุ 2-3 ปี ประสาทตาอาจถูกทำลายเนื่องจากตะแกรงระบายน้ำเลี้ยงลูกตาเกิดการอุดกั้น หรืออาจเกิดจากความผิดปกติอื่น ๆ

อาการ

ในรายที่เป็นต้อหินแบบเฉียบพลัน มีอาการปวดลูกตาและศีรษะข้างหนึ่งอย่างฉับพลันรุนแรงและนานเป็นวัน ๆ ร่วมกับอาการตาพร่ามัว มองเห็นแสงสีรุ้ง และคลื่นไส้อาเจียน

บางรายอาจมีอาการปวดตา ตาแดง ตาพร่า เห็นแสงสีรุ้งเป็นพัก ๆ นำมาก่อนเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ซึ่งมักจะเป็นตอนหัวค่ำ หรือเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดหรืออยู่ในที่มืด หรือขณะมีอารมณ์หงุดหงิด กังวล โกรธ เพราะจะมีเลือดไปคั่งที่ม่านตา มุมระบายน้ำเลี้ยงลูกตาที่แคบอยู่แล้วยิ่งแคบลงไปอีก พอนอนพักหรือเป็นอยู่นาน 1-2 ชั่วโมงก็บรรเทาได้เอง

ผู้ป่วยมักจะมีอาการเพียงข้างเดียว แต่ตาอีกข้างหนึ่งก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นต้อหินชนิดเฉียบพลันเช่นกัน

ในรายที่เป็นต้อหินแบบเรื้อรัง มีอาการตามัวลงทีละน้อย ๆ เป็นแรมปี โดยในระยะแรกผู้ป่วยมักจะไม่รู้สึกมีอาการผิดปกติแต่อย่างใด บางรายอาจรู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อย อาจรู้สึกอ่านหนังสือแล้วปวดเมื่อยตาเล็กน้อย หรือตาล้า ตาเพลีย และตาพร่าเร็วกว่าธรรมดา ส่วนใหญ่แพทย์อาจตรวจพบโดยบังเอิญขณะที่ไปตรวจรักษาด้วยโรคอื่น

ต่อมาผู้ป่วยจะมีลานสายตาแคบลงกว่าเดิมมาก คือ มองไม่เห็นด้านข้าง อาจขับรถลำบากเพราะมองไม่เห็นรถที่อยู่ทางซ้ายและขวา หรือรถแซง รถสวน หรือเวลาเดินอยู่ในบ้าน อาจชนถูกขอบโต๊ะ ขอบเตียง ขอบประตู ขอบบันได

บางรายอาจรู้สึกว่าตามัวลงเรื่อย ๆ ต้องคอยเปลี่ยนแว่นอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่รู้สึกดีขึ้น

ในระยะสุดท้าย ผู้ป่วยจะมีอาการตามัวอย่างมาก และอาจมีอาการปวดตาร่วมด้วย ซึ่งเมื่อถึงระยะนี้ประสาทตาก็มักจะเสียจนแก้ไขไม่ได้

ผู้ป่วยมักจะมีอาการที่ตาทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน


ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะความดันสูงภายในลูกตาจะทำลายขั้วประสาทตาจนเสื่อม ทำให้ลานสายตาแคบ และตาบอดถาวรได้

ภาวะลานสายตาแคบมักเป็นภาวะแทรกซ้อนของต้อหินแบบเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยไม่มีอาการชัดเจนและไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม ผู้ป่วยจะมีอาการมองไม่เห็นด้านข้าง ทำให้เดินชนขอบโต๊ะ ขอบเตียง ขอบประตู ขอบบันได เดินสะดุดหกล้ม หรือเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบดังนี้

ในรายที่เป็นต้อหินแบบเฉียบพลัน จะพบมีอาการตาแดงเรื่อ ๆ ที่บริเวณรอบ ๆ ตาดำมากกว่าบริเวณที่อยู่ห่างจากตาดำออกไป กระจกตามีลักษณะขุ่นมัวไม่ใสเช่นปกติ รูม่านตาข้างที่ปวดจะโตกว่าข้างปกติ และเมื่อใช้ไฟฉายส่องจะไม่หดลง เมื่อใช้นิ้วกดลูกตา โดยให้ผู้ป่วยมองต่ำ ใช้นิ้วชี้ทั้ง 2 ข้างกดลงบนเปลือกตาบนจะรู้สึกว่าตาข้างที่ปวดมีความแข็งมากกว่าข้างที่ปกติ

ในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจตรวจไม่พบความผิดปกติที่สังเกตจากภายนอกได้ชัดเจน

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจตาด้วยเครื่องตรวจตา ตรวจลานสายตา ตรวจลักษณะมุมตาและขั้วประสาทตา และวัดความดันลูกตา ซึ่งมักจะพบว่าสูงเกินปกติ (ค่าปกติประมาณ 10-21 มม.ปรอท)


การรักษาโดยแพทย์

ในรายที่เป็นเฉียบพลัน แพทย์จะทำการรักษาด้วยยาลดความดันลูกตา ร่วมกับการรักษาด้วยเแสงเลเซอร์หรือการผ่าตัด เพื่อเปิดทางระบายน้ำเลี้ยงตา

ยาลดความดันลูกตามีให้เลือกใช้หลายชนิด ซึ่งอาจใช้เดี่ยว ๆ หรือใช้ร่วมกันก็ได้ อาทิ ยากลุ่ม carbonic anhydrase inhibitors ชนิดกิน (เช่น acetazolamide, methazolamide), ยาหยอดตาที่มีตัวยาปิดกั้นบีตา (เช่น timolol), ยาหยอดตากลุ่ม carbonic anhydrase inhibitors (เช่น dorzolamide, brinzolamide), ยาหยอดตากลุ่ม alpha-adrenergic agonists (เช่น apraclonidine, brimonidine), ยาหยอดตากลุ่ม cholinergic agents (เช่น pilocarpine), ยาหยอดตากลุ่มพรอสตาแกลนดิน (เช่น brimonidine)

โดยทั่วไปการรักษาดังกล่าวจะช่วยลดความดันลูกตาให้เป็นปกติภายในไม่กี่ชั่วโมง

การรักษาด้วยแสงเลเซอร์หรือการผ่าตัด ถ้าสามารถทำภายใน 12-48 ชั่วโมงหลังมีอาการ ก็จะมีโอกาสหายขาดได้ แต่ถ้าไม่ได้รักษาประสาทตาจะเสียและตาบอดได้ ภายใน 2-5 วันหลังมีอาการ

นอกจากนี้ แพทย์จะพิจารณาทำการผ่าตัดเปิดทางระบายน้ำเลี้ยงลูกตาของตาข้างที่ปกติให้ด้วย เพราะปล่อยไว้อาจมีโอกาสกลายเป็นต้อหินเฉียบพลันในภายหลังได้

ในรายที่เป็นเรื้อรัง แพทย์จะให้ยาหยอดตา และ/หรือยากินลดความดันลูกตา ถ้าได้ผลก็จำเป็นต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่อง และคอยตรวจวัดความดันลูกตาไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าไม่ได้ผลมักต้องรักษาด้วยแสงเลเซอร์หรือการผ่าตัดเพื่อเปิดทางระบายน้ำเลี้ยงตา

ผลการรักษา สำหรับต้อหินแบบเฉียบพลัน หากได้รับการรักษาได้ทันการณ์ก็จะหายได้โดยเร็วและไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน ส่วนต้อหินแบบเรื้อรังส่วนใหญ่จะต้องใช้ยารักษาอย่างต่อเนื่อง ถ้าได้รับการรักษาก่อนที่ขั้วประสาทตาถูกทำลาย ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้สายตาผิดปกติ (ลานสายตาแคบ) ได้ แต่ถ้าได้รับการรักษาหลังจากขั้วประสาทตาถูกทำลายไปบางส่วน ก็จะป้องกันไม่ให้สายตาผิดปกติมากขึ้น


การดูแลตนเอง

หากสงสัยว่าเป็นต้อหิน ควรปรึกษาแพทย์ แต่ถ้ามีอาการปวดตาและตามัวซึ่งเกิดขึ้นเฉียบพลัน หรือสงสัยเป็นต้อหินแบบเฉียบพลัน ควรไปพบแพทย์ด่วน เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคนี้ ควรปฏิบัติ ดังนี้

    รักษา ปฏิบัติตัว และติดตามการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ
    หลีกเลี่ยงการซื้อยากินและยาหยอดตามาใช้เอง เพราะยาบางชนิด (เช่น อะโทรพีน และกลุ่มยาแอนติสปาสโมดิก ที่ใช้รักษาอาการปวดท้อง ท้องเดิน) อาจทำให้โรคต้อหินกำเริบได้


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    มีอาการปวดศีรษะและปวดตารุนแรง คลื่นไส้อาเจียน ตาแดงหรือตามัวมากขึ้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้ หรือมีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา   


การป้องกัน

โรคนี้ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลดี แต่อาจลดความเสี่ยงหรือชะลอการเกิดต้อหินได้ด้วยการปฏิบัติตัว ดังนี้

    หมั่นตรวจเช็กสุขภาพตารวมทั้งวัดความดันลูกตา ทุก 5-10 ปีสำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 40 ปี, ทุก 2-4 ปีสำหรับผู้ที่อายุ 40-54 ปี, ทุก 1-3 ปีสำหรับผู้ที่อายุ 55-64 ปี, และทุก 1-2 ปีสำหรับผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป

ส่วนผู้ที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีประวัติโรคต้อหินในครอบครัว ควรตรวจถี่กว่าปกติ เช่น ทุกปี หรือตามที่แพทย์แนะนำ

    เมื่อตรวจพบว่ามีความดันในลูกตาสูง ควรใช้ยาหยอดตาที่มีตัวยาลดความดันลูกตา และหมั่นติดตามดูการเปลี่ยนแปลงอาการตามที่แพทย์แนะนำ
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำตามวิธีที่แพทย์แนะนำ (เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ) มีส่วนช่วยลดความดันลูกตา ป้องกันโรคต้อหินได้
    ใส่อุปกรณ์ป้องกันตาเวลาทำกิจกรรมหรือเล่นกีฬาที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บต่อดวงตา (ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดต้อหินได้)
    ควบคุมโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต) ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

ข้อแนะนำ

1. ต้อหินแม้ว่าจะเป็นโรคที่ร้ายแรงซึ่งทำให้ตาบอดได้ แต่ถ้าได้รับการรักษาเสียแต่เนิ่น ๆ ก็มีทางรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้น ถ้าพบผู้ที่มีอาการปวดตา ตามัว สงสัยว่าจะเป็นต้อหิน ควรปรึกษาแพทย์และรับการรักษาให้ทันท่วงที

2. เนื่องจากโรคนี้ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีแม้ว่าจะรู้สึกสบายดี ควรตรวจวัดความดันลูกตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีประวัติว่ามีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้มาก่อน

3. ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาหยอดตาที่เข้าสเตียรอยด์ (ที่ใช้แก้อาการแพ้หรืออาการของตาอักเสบ) นาน ๆ หรือยาหยอดตาที่เข้าอะโทรพีน หรือยาที่ทำให้รูม่านตาขยายตัว เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดอาการต้อหิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีความดันลูกตาสูง (โดยไม่รู้ตัว) อยู่ก่อนแล้ว

11
โรคมะเร็ง (Cancer) สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา

โรคมะเร็งเป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากการที่เซลล์ในร่างกายมีการเจริญเติบโตและแบ่งตัวอย่างผิดปกติโดยไม่มีการควบคุม ทำให้เกิดเป็นก้อนเนื้อร้ายที่สามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ได้ หากไม่ได้รับการรักษาจะส่งผลให้เสียชีวิตในที่สุด

สาเหตุของโรคมะเร็ง

มะเร็งเกิดจากความผิดปกติในระดับพันธุกรรมของเซลล์ ซึ่งมีปัจจัยทั้งจากภายในและภายนอกร่างกาย

ปัจจัยภายใน:

พันธุกรรม: หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งบางชนิด จะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป

ระบบภูมิคุ้มกัน: ความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายไม่สามารถทำลายเซลล์ที่ผิดปกติได้

ปัจจัยภายนอก:

พฤติกรรม: การสูบบุหรี่, การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, การทานอาหารที่มีไขมันสูงและเนื้อสัตว์แปรรูป

สิ่งแวดล้อม: การได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด, มลภาวะทางอากาศ, และสารเคมีบางชนิด

การติดเชื้อ: เช่น ไวรัสตับอักเสบบีและซี (มะเร็งตับ), ไวรัส HPV (มะเร็งปากมดลูก)


อาการที่ควรสังเกต

อาการของมะเร็งจะแตกต่างกันไปตามอวัยวะที่เกิดโรค แต่มีสัญญาณเตือนบางอย่างที่ควรรู้และไม่ควรมองข้าม

มีก้อนเนื้อหรือตุ่มที่โตขึ้นผิดปกติ

ไอบ่อย, ไอเรื้อรัง หรือไอมีเลือดปน

เสียงแหบ

แผลเรื้อรังที่ไม่หาย

น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ

ปัสสาวะหรืออุจจาระมีเลือดปน

อ่อนเพลียผิดปกติ


การวินิจฉัย

เมื่อแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็ง จะทำการวินิจฉัยเพื่อยืนยันผล โดยมีหลายวิธี

การตรวจร่างกาย: แพทย์จะคลำหาความผิดปกติหรือก้อนเนื้อ

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: เช่น การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง

การถ่ายภาพรังสี: เช่น เอ็กซเรย์, อัลตราซาวนด์, CT Scan, หรือ MRI

การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy): เป็นวิธีที่สำคัญที่สุด โดยแพทย์จะนำชิ้นเนื้อต้องสงสัยไปตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งหรือไม่


การรักษา

แนวทางการรักษามะเร็งจะขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง, ระยะของโรค และสภาพร่างกายของผู้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาแบบผสมผสานหลายวิธี

การผ่าตัด: เพื่อนำก้อนเนื้อร้ายออกให้ได้มากที่สุด

รังสีรักษา (Radiation Therapy): ใช้รังสีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็ง

เคมีบำบัด (Chemotherapy): ใช้ยาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง

การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy): ใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงกับเซลล์มะเร็ง

ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): ใช้ยาเพื่อกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้ป่วยเองไปกำจัดเซลล์มะเร็ง

การป้องกันที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ หากสงสัยว่ามีอาการผิดปกติใดๆ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุดค่ะ

12
จัดฟันบางนา: การทำฟันปลอม แบบสะพานฟัน ไม่ยุ่งยากใช้งานได้รวดเร็ว

ฟันปลอม หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า ฟันเทียม คือหนึ่งในนวัตกรรมทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทำให้ฟันปลอมมีการพัฒนาออกมาอย่างรวดเร็วและหลากหลายรูปแบบ ซึ่งหลายๆท่านที่สูญเสียฟันจริงตามธรรมชาติไปนั้น หลีกหนีไม่ได้เลยที่ต้องมาทำฟันปลอม แต่ฟันปลอมแบบไหนที่ดีที่สุด ในส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่านผู้ใช้ ว่ามีพฤติกรรม การดำเนินชีวิต ในรูปแบบไหนนั่นเอง

ซึ่งเชื่อว่าหลายๆท่านน่าจะรู้จักกับการทำฟันปลอม แบบสะพานฟันกันมาบ้างไม่มากก็น้อย อาจจะรู้ถึงข้อดีและข้อเสียต่างๆ แต่อาจจะยังไม่ทราบว่าการรักษานั้นต้องเตรียมตัวอย่างไร หรือ การทำสะพานฟันนั้นมีวิธีรวมถึงขั้นตอนอย่างไรบ้าง

ในวันนี้จะขอมาไขข้อสงสัยถึงวิธีขั้นตอนการทำสะพานฟันให้ท่านผู้อ่านได้ทราบอย่างละเอียด โดยมีเนื้อหาใจความดังต่อไปนี้


สะพานฟัน คืออะไร ?

สะพานฟันถือว่าเป็นการทำฟันปลอมแบบติดแน่นรูปแบบหนึ่ง ที่นิยมทำกันอย่างแพร่หลาย โดยสะพานฟันนั้นจะต้องทำการอาศัยฟันจริงรอบข้างเป็นส่วนช่วยเหลือในการยึดติด โดยเมื่อทำสะพานฟันท่านจะไม่สามารถถอดหรือใส่เองได้ ต้องให้ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ทำให้เท่านั้น การทำสะพานฟันจะสามารถทำได้ในกรณีที่ฟันที่ถูกถอนออกยังมีฟันตามธรรมชาติรอบข้างที่แข็งแรงพอจะยึดติดสะพานฟันได้ ซึ่งสะพานฟันจะมีความคล้ายกับฟันตามธรรมชาติ เพื่อให้ท่านกลับมามีรอยยิ้มที่สดใสอีกครั้งหนึ่ง


ขั้นตอนหารทำสะพานฟันแบบทั่วไป ?

– ปรึกษาทันตแพทย์

ต้องขอบอกเลยว่าการทำสะพานฟัน จำเป็นจะต้องวานแผนในการรักษาอย่างละเอียด และแม่นยำ โดยจะต้องเลือกสีของฟัน และระยะเวลาในการรักษาอย่างรอบครอบ ซึ่งควรเข้าปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแบบเฉพาะทางก่อนที่จะเริ่มทำ และควรเลือกสถานที่ ที่มีความน่าเชื่อถือและมีประสบการณ์เป็นสำคัญอีกด้วย

– การเตรียมฟัน

เมื่อทางด้านทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้วางแผนต่างๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนนี้ก็ถือได้ว่าละเอียดและสำคัญ เพราะ ท่านจะต้องถูกกรอเนื้อฟันมากน้อยตามแต่ลักษณะรูปแบบของสะพานฟันในแต่ละประเภท เพื่อไว้ให้เป็นที่ยึดติดสะพานฟันรอบฟันที่สูญเสียไป ที่จำเป็นต้องกรอฟันก็เพื่อให้ฟันรอบข้างเล็กและสั้นลง จะได้สวมใส่สะพานฟันได้นั่นเอง

– พิมพ์ปาก

เมื่อกรอฟันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทันตแพทย์จะทำการพิมพ์ปากในส่วนที่จะทำสะพานฟัน แล้วส่งไปให้กับทางช่างทันตกรรม เพื่อทำการผลิตสะพานฟัน เพื่อให้เหมาะสมกับช่องปากและฟันของผู้ที่เข้ารับรักษา ซึ่งจะใช้เวลาในการผลิตประมาณ 7 – 10 วัน ในระหว่างที่รอสะพานฟันนั้น ทันตแพทย์จะใส่สะพานฟันแบบชั่วคราวไว้ให้ก่อนเพื่อให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งจะมีความบอบบางมากกว่าของจริง

– ใส่สะพานฟันตัวจริง

เมื่อได้สะพานฟันตัวจริงที่ถูกผลิตออกมาโดยตรงจากห้องแลปทันตกรรม ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการนัดผู้ป่วยเพื่อถอดสะพานฟันชั่วคราวออก และใส่สะพานฟันตัวจริงทดแทน ซึ่งในขณะใส่สะพานฟันตัวจริง ทันแพทย์จะทำให้ใส่อย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดความเหมาะสม โดยสะพานฟันตัวจริงนี้จะมีความคงทนแข็งแรง และเป็นธรรมชาติมากกว่าสะพานฟันชั่วคราว

– ตรวจเช็คหลังการใช้งาน

เมื่อทำการใส่สะพานฟันตัวจริงเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะนัดหมายผู้ป่วยให้มาตรวจสอบสะพานฟันหลังจากที่ใส่ไปแล้วประมาณ 7 – 10 วัน เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในช่วงนี้หากว่าผู้ที่ใส่สะพานฟันมีความผิดปกติอย่างไรบ้าง ให้เก็บข้อมูลเบื้องต้นไว้ด้วย เพื่อไปบอกทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในวันที่นัดตรวจสอบ เพื่อให้ทันตแพทย์ได้ทำการแก้ไขอย่างละเอียดและตรงจุดนั่นเอง

ทั้งหมดนี้ก็คือกระบวนการใส่สะพานฟัน ที่ไม่ได้มีความยุ่งยากแต่อย่างใด แต่เมื่อท่านได้ใส่สะพานฟันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างลืมเด็ดขาดคือ ดูแลสุขภาพช่องปากและอุปกรณ์สะพานฟันให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดโรคร้ายแรงอย่างอื่นตามมา และที่ขาดไม่ได้อีกอย่างก็คือ การตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หรือ 6 เดือนต่อหนึ่งครั้ง เพียงเท่านี้ท่านก็จะมีสุขภาพช่องปากที่แข็งแรง

13
ปัญหาที่เกิดจากการจัดฟันเด็ก ที่มักพบได้บ่อย

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกน้อย ถือว่ามีความสำคัญมากเพราะการที่เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เด็กจะได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และรับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่ ช่วยส่งเสริมในเรื่องของพัฒนาการทำให้เด็กมีการเจริญเติบโตที่ดีขึ้นด้วย สำหรับการจัดฟันในเด็ก ก็เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาฟันของเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการจัดฟันในเด็กจะทำได้เมื่อมีฟันแท้ขึ้นบางส่วนภายในช่องปากของเด็ก

และเด็กก็มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการจัดฟัน เพื่อทำการแก้ไขความผิดปกติของการสบฟัน รวมไปถึงตำแหน่งของขากรรไกรที่มีความผิดปกติ การจัดฟันในเด็กจะต้องได้รับความร่วมมือจากเด็กและพ่อแม่ผู้ปกครองด้วยอีกทั้งเด็กๆ จะต้องมีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันเป็นอย่างดี ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้นสามารถ แบ่งออกได้เป็นสองระยะนั่นก็คือระยะการจัดฟันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดปกติหรือแก้ไขความผิดปกติบางอย่างที่มีอยู่ให้น้อยลงหรือหายไป และอีกระยะหนึ่งก็คือระยะการจัดฟันแบบแก้ไขทั้งหมด เช่น การจัดฟันแบบสวมใส่เครื่องมือแบบติดแน่น ที่มีเหล็กจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก


ซึ่งการจัดฟันในลักษณะนี้ สามารถพบเจอได้บ่อยเรียกว่าเป็นเทรนยอดฮิตของวัยรุ่นเลยก็ว่าได้ แต่การจัดฟันในรูปแบบนี้ก็มีปัญหามากมายเกิดขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน สำหรับวันนี้ทางคลินิก เราจะมาพูดถึงปัญหาที่เกิดจากการจัดฟันในเด็กที่มักพบได้บ่อย หากเราพูดถึงการจัดฟันแน่นอนว่าหลายคนมีอุปสรรคเกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่อาจจะไม่ได้รับอาหารเต็มที่ เนื่องจากจะต้องระมัดระวังและต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีความอ่อนนุ่ม เพื่อที่จะได้บดเคี้ยวอาหารได้อย่างเต็มที่ โดยไม่กระทบกระเทือนถึงเครื่องมือการจัดฟันนั่นเอง ปัญหานี้คือเข้ารับการจัดฟันไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็มักจะเจอได้บ่อย เพราะฉะนั้น การจัดฟันในเด็กก็อาจจะเจอปัญหาเดียวกัน

สำหรับปัญหาในการจัดฟันในเด็กที่มักพบได้บ่อยนั่นก็คือ ปัญหาการเกิดฟันผุ แน่นอนว่าผู้ที่เข้ารับการจัดฟันไม่ว่าจะเป็นวัยเด็กวัยหรือผู้ใหญ่ แน่นอนว่าในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟัน เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เราจะต้องเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษเนื่องจากเรามีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก อาจจะทำให้ทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ทั่วถึง การที่เราทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ดีเท่าที่ควรนั้น เป็นสาเหตุหลักของการเกิดฟันผุ แน่นอนว่าเด็กๆ หลายคนที่เข้ารับการจัดฟันในเด็กหากไม่ดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของความสะอาดของช่องปาก ก็อาจจะทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย นอกจากนี้ อาจจะยังทำให้เกิดปัญหาเหงือกอักเสบ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการทำความสะอาดช่องปากและฟันไม่สะอาดนั่นเอง ในข้อนี้ ถ้าหากเด็กเป็นโรคเหงือกอักเสบเรียกว่าเป็นปัญหาร้ายแรงเลยทีเดียว อาจจะทำให้เกิดการสูญเสียฟันก่อนวัยอันควรได้


เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดก็คือพ่อแม่ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานของท่านเข้าพบกับทันตแพทย์ เพื่อทำการตรวจฟันหรือถ้าหากจัดฟันอยู่ก็ให้มาพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกเดือนเพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟันและปรับเครื่องมือการจัดฟันด้วย ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าปัญหาหลักๆ ที่อาจจะเกิดได้จากการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก อาจจะเกิดจากการที่เราไม่ดูแลความสะอาดภายในช่องปาก ไม่ดูแลเครื่องมือการจัดฟันและปัญหาอีกข้อหนึ่งที่มักพบได้บ่อยก็คือการสวมใส่รีเทนเนอร์ ที่หลายคนเมื่อจัดฟันเสร็จแล้วกว่าจะละเลยการใส่รีเทนเนอร์ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ทำให้มีผลต่อการจัดฟันอาจทำให้ฟันมีการย้อนกลับไปสู่ตำแหน่งเดิมที่เคยอยู่ก่อนจัดฟัน ซึ่งอาจจะต้องทำการจัดฟันซ้ำใหม่อีกรอบ

ทั้งหมดนี้ก็คือปัญหาที่อาจจะเกิดได้จากการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของบุตรหลานของท่านให้ดี ควรแนะนำให้เด็กรู้จักวิธีการทำความสะอาดอย่างถูกวิธี เพื่อจะได้ป้องกันการเกิดฟันผุ ขณะจัดฟัน ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่เด็กและหลายคนมักจะพบเจอได้บ่อยนั่นเอง


สำหรับใครที่อยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมในเด็ก คอยให้คำปรึกษาอย่างถูกต้อง และสามารถช่วยแนะนำให้เด็กรู้จักการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากเพื่อที่จะได้ลดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันในอนาคต เพราะเราอยากให้เด็กเด็กทุกคนมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้เข้าใจในการดูแลช่องปากอย่างถูกวิธี เพื่อให้เรามีฟันที่แข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

14
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)

ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


15
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


หน้า: [1] 2 3 ... 51