แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 45
1
สูตรหมี่คลุกไก่ฉีก สร้างอาชีพเสริม มีรายได้เพิ่ม รสชาติอร่อย

หมี่คลุกไก่ฉีกเป็นเมนูที่ทำง่าย อร่อย และได้รับความนิยมอย่างมาก เหมาะสำหรับการทำขายสร้างรายได้เสริม ต่อไปนี้เป็นสูตรและเคล็ดลับในการทำหมี่คลุกไก่ฉีกให้อร่อยและขายดี:

ส่วนผสม:

เส้นหมี่ขาว 200 กรัม
อกไก่ต้มสุกฉีกเป็นเส้น 200 กรัม
กระเทียมเจียว 2 ช้อนโต๊ะ
ผักกาดหอม หรือผักสดตามชอบ
น้ำปรุงรส (สูตรด้านล่าง)
น้ำพริกกากหมู (ถ้ามี)
ส่วนผสมน้ำปรุงรส:

น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำต้มไก่ 3 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น (ตามชอบ)

วิธีทำ:

เตรียมเส้นหมี่:
แช่เส้นหมี่ในน้ำจนนิ่ม
นำไปลวกในน้ำเดือดจนสุก ตักขึ้นสะเด็ดน้ำ
คลุกเคล้าเส้นหมี่กับน้ำมันกระเทียมเจียว เพื่อไม่ให้เส้นติดกัน

ทำน้ำปรุงรส:
ผสมน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ น้ำส้มสายชู น้ำต้มไก่ และพริกไทยป่น คนให้เข้ากัน

คลุกหมี่:
นำเส้นหมี่ที่ลวกไว้มาคลุกเคล้ากับน้ำปรุงรสให้เข้ากัน
ใส่ไก่ฉีกและผักสดลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน
โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวและน้ำพริกกากหมู (ถ้ามี)

จัดเสิร์ฟ:
ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ

เคล็ดลับความอร่อย:

เส้นหมี่: เลือกใช้เส้นหมี่ขาวที่เหนียวนุ่ม
ไก่: ใช้อกไก่ต้มสุกฉีกเป็นเส้น จะทำให้ได้เนื้อไก่ที่นุ่มและไม่แห้ง
น้ำปรุงรส: ปรุงรสน้ำปรุงรสให้เข้มข้น เปรี้ยว เค็ม หวาน เผ็ด กลมกล่อม
ผัก: ใส่ผักสดตามชอบ เช่น ผักกาดหอม ถั่วงอก หรือแตงกวา
กระเทียมเจียว: เจียวกระเทียมให้เหลืองกรอบ จะช่วยเพิ่มความหอมให้กับหมี่คลุก
น้ำพริกกากหมู: เพิ่มน้ำพริกกากหมู จะช่วยเพิ่มรสชาติและความอร่อยให้กับหมี่คลุก

เคล็ดลับทำขาย:

เตรียมวัตถุดิบไว้ล่วงหน้า เช่น ต้มไก่ ฉีกไก่ และเจียวกระเทียม
จัดเตรียมภาชนะให้พร้อม เช่น กล่องโฟม หรือกล่องพลาสติก
กำหนดราคาขายที่เหมาะสมกับต้นทุนและกลุ่มลูกค้า
โปรโมทผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Line, หรือ Instagram
รักษาความสะอาดของวัตถุดิบ อุปกรณ์ และสถานที่ทำอาหาร
เพิ่มตัวเลือก เช่น หมี่คลุกไก่ฉีกรสจัดจ้าน, หมี่คลุกไก่ฉีกใส่ไข่ต้ม

ช่องทางการขาย:

ตลาดนัด
ร้านอาหารตามสั่ง
เดลิเวอรี่
งานออกร้าน

ด้วยสูตรและเคล็ดลับเหล่านี้ คุณสามารถสร้างอาชีพเสริมด้วยหมี่คลุกไก่ฉีกได้อย่างแน่นอน

2
การทำอาหารของคุณให้กลายเป็น อาชีพเสริม ที่ยั่งยืน และขายดีได้

การเปลี่ยนทักษะการทำอาหารของคุณให้กลายเป็นอาชีพเสริมที่ยั่งยืนและขายดีนั้นต้องอาศัยการวางแผนและการจัดการอย่างรอบคอบ ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับและแนวทางที่จะช่วยให้คุณสร้างอาชีพเสริมจากการทำอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

1. ค้นหาความถนัดและเอกลักษณ์:

สำรวจทักษะและความสามารถ:
พิจารณาว่าคุณมีความถนัดหรือความเชี่ยวชาญในอาหารประเภทใด เช่น อาหารไทย อาหารตะวันตก ขนมหวาน หรือเครื่องดื่ม
ประเมินทักษะที่คุณมีและทักษะที่คุณต้องการพัฒนาเพิ่มเติม

สร้างเอกลักษณ์:
คิดค้นสูตรอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและสดใหม่
ใส่ใจในรายละเอียดและรสชาติของอาหาร

2. วางแผนธุรกิจ:

กำหนดกลุ่มเป้าหมาย:
ระบุกลุ่มลูกค้าที่คุณต้องการเข้าถึง
ศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

สร้างแบรนด์:
พัฒนาชื่อ โลโก้ และเอกลักษณ์ของแบรนด์
สร้างเรื่องราวของแบรนด์ให้น่าจดจำ

เลือกช่องทางการขาย:
พิจารณาช่องทางการขายที่เหมาะสม เช่น ออนไลน์ ออฟไลน์ หรือผสมผสาน
เลือกแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เหมาะสม เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือตลาดออนไลน์

กำหนดราคา:
กำหนดราคาที่เหมาะสมกับต้นทุนและตลาด
พิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น คุณภาพสินค้า บริการ และคู่แข่ง

วางแผนการตลาด:
กำหนดกลยุทธ์การตลาดเพื่อโปรโมทสินค้าหรือบริการของคุณ
ใช้ช่องทางการตลาดที่หลากหลาย เช่น โซเชียลมีเดีย การตลาดผ่านเนื้อหา หรือการตลาดผ่านอีเมล

3. สร้างความแตกต่างและคุณภาพ:

ความหลากหลาย:
นำเสนอเมนูอาหารที่หลากหลายและน่าสนใจ
เพิ่มเมนูพิเศษหรือเมนูตามฤดูกาล
รับฟังความคิดเห็นและปรับปรุงเมนูตามความต้องการของลูกค้า

บรรจุภัณฑ์:
เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ปลอดภัย และสวยงาม
ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สะดวกต่อการรับประทานและขนส่ง

รูปภาพและวิดีโอ:
ถ่ายภาพอาหารให้สวยงาม น่ารับประทาน
ทำวิดีโอแนะนำเมนูหรือขั้นตอนการทำอาหาร

4. การตลาดและบริการ:

ช่องทางออนไลน์:
สร้างเพจหรือเว็บไซต์เพื่อโปรโมทร้านค้า
ใช้โซเชียลมีเดียในการโฆษณาและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
เข้าร่วมแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่เพื่อเพิ่มช่องทางการขาย

โปรโมชั่นและส่วนลด:
จัดโปรโมชั่นพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่
มอบส่วนลดสำหรับลูกค้าประจำ
สร้างโปรแกรมสะสมแต้มหรือบัตรสมาชิก

บริการลูกค้า:
ใส่ใจในการบริการและตอบคำถามของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
รับฟังความคิดเห็นและแก้ไขปัญหาของลูกค้า
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำ

การตลาดปากต่อปาก:
สร้างความประทับใจให้ลูกค้าเพื่อเกิดการบอกต่อ

5. การจัดการและควบคุม:

การจัดการสต็อก:
จัดการสต็อกวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพ
ลดการสูญเสียและควบคุมต้นทุน

การจัดส่ง:
วางแผนการจัดส่งให้มีประสิทธิภาพและตรงเวลา
เลือกใช้บริการจัดส่งที่น่าเชื่อถือ

การเงิน:
จัดการรายรับรายจ่ายอย่างเป็นระบบ
วิเคราะห์ผลกำไรและปรับปรุงธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ความสะอาด:
รักษาความสะอาดของวัตถุดิบ อุปกรณ์ และสถานที่ทำอาหาร

เคล็ดลับเพิ่มเติม:

สร้างเรื่องราวและเอกลักษณ์ของร้านค้า
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์
พัฒนาตัวเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

การสร้างอาชีพเสริมจากการทำอาหารให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความตั้งใจ ความอดทน และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

3
โพสฟรี ขายในไทย ทุกหมวดหมู่ / Doctor At Home: บิดอะมีบา (Amebiasis)
« เมื่อ: วันที่ 6 กรกฎาคม 2025, 14:10:44 น. »
Doctor At Home: บิดอะมีบา (Amebiasis)

อะมีบา เป็นโปรโตซัว (สัตว์เซลล์เดียว) ชนิดหนึ่ง สามารถเข้าไปทำให้เกิดการติดเชื้อในลำไส้ กลายเป็นลำไส้ใหญ่อักเสบ (colitis) เรียกว่า บิดอะมีบา หรือเข้าไปในตับทำให้เกิดฝีในตับ เรียกว่า ฝีตับอะมีบา

บิดอะมีบา (บิดมีตัว) พบได้ในคนทุกวัย แต่พบมากในคนอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป

บิดชนิดนี้พบได้น้อยกว่าบิดชิเกลลา มักพบในท้องถิ่นที่การสุขาภิบาลยังไม่ดี หรือในกลุ่มคนที่ยังขาดสุขนิสัยที่ดี

การติดเชื้อมักเกิดได้บ่อยในสถานพักฟื้นของผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยทางจิตเวช และในกลุ่มชายรักร่วมเพศ

ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง แต่เป็นพาหะแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ส่วนน้อยจะกลายเป็นโรคบิดอะมีบา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด ขาดอาหาร ป่วยเป็นมะเร็ง ใช้ยาสเตียรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกัน ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์หรือหลังคลอดอาจเกิดอาการรุนแรง และมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้ออะมีบา (ameba) ที่มีชื่อว่า เอนตามีบาฮิสโตไลติคา (Entamoeba histolytica) ซึ่งอยู่ตามดินและแหล่งน้ำธรรมชาติ รวมทั้งอาจปนเปื้อนอยู่ในสระว่ายน้ำและน้ำประปา ส่วนใหญ่ติดต่อโดยการกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อจากผู้ที่เป็นพาหะ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่จัดเตรียมหรือทำอาหารให้ผู้อื่น) หรือปนเปื้อนดินหรือน้ำที่มีเชื้อ นอกจากนี้ยังติดต่อโดยการดื่มน้ำแบบดิบ ๆ และการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อ หรือการมีเพศสัมพันธ์ที่มีการใช้ปากสัมผัสกับทวารหนักหรือองคชาตที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระในบริเวณทวารหนัก (ซึ่งพบในกลุ่มชายร่วมเพศ)

ระยะฟักตัว 1 สัปดาห์ถึง 3 เดือน (ส่วนใหญ่ 8-10 วัน)
 

อาการ

ในรายที่เป็นเฉียบพลัน อาจแสดงอาการได้ 3 ลักษณะตามความรุนแรงของโรคดังนี้

ในรายที่มีการติดเชื้อเล็กน้อยถึงปานกลาง จะมีอาการปวดบิดในท้อง มีลมในท้องมาก ท้องอืด ถ่ายอุจจาระเหลววันละ 3-5 ครั้ง อาจมีมูกปนเล็กน้อย (โดยไม่มีเลือดปน) หรือไม่ก็ได้ ส่วนใหญ่มักไม่มีไข้ หรือมีไข้ต่ำ

ในรายที่มีการติดเชื้อมาก จะมีอาการของลำไส้ใหญ่อักเสบหรือโรคบิดชัดเจน คือ ปวดท้อง ปวดเบ่งที่ก้นคล้ายถ่ายไม่สุด และถ่ายเป็นมูกเลือดทีละน้อย ซึ่งมีเนื้ออุจจาระปนน้อยมาก มักมีกลิ่นเหม็นเหมือนหัวกุ้งเน่า ผู้ป่วยจะถ่ายกะปริดกะปรอยวันละ 10-20 ครั้ง หรือมากกว่า ระยะนี้ผู้ป่วยเดินเหินไปไหนมาไหนและทำงานได้

อาการถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นมูกเลือดดังกล่าว มักจะเป็นอยู่นานหลายวันถึงหลายสัปดาห์ แล้วอาจทุเลาไปได้เองสักระยะหนึ่ง หากไม่ได้รับการรักษาก็จะมีอาการกำเริบซ้ำได้บ่อย ๆ

ในรายที่ติดเชื้อรุนแรง ซึ่งมักพบในเด็กเล็ก จะมีอาการคล้ายบิดชิเกลลา คือ มีไข้สูง ปวดท้องมาก คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลียมาก ถ่ายเป็นน้ำปริมาณมากวันละ 10-20 ครั้ง มักมีเลือดปน และมักมีภาวะขาดน้ำซึ่งอาจรุนแรงถึงช็อกได้ 

ในรายที่เป็นเรื้อรัง จะมีอาการปวดท้อง ท้องอืด อ่อนเพลีย ถ่ายอุจจาระเหลว (อาจมีมูกปน) วันละ 3-5 ครั้ง หรือถ่ายเป็นมูกเลือดกะปริดกะปรอย เป็นๆ หายๆ เรื้อรังนานเป็นแรมเดือนแรมปี ผู้ป่วยมักมีอาการน้ำหนักลดร่วมด้วย และในช่วงที่ไม่มีอาการท้องเดินอาจมีอาการท้องผูกสลับด้วย อาการแสดงบางครั้งอาจแยกไม่ออกจากมะเร็งลำไส้ใหญ่


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจกลายเป็นโรคบิดเรื้อรัง มีอาการอ่อนเพลีย ซีด น้ำหนักลด ซูบผอม อาจเกิดก้อนอะมีโบมา (เกิดจากการติดเชื้ออะมีบาเรื้อรังร่วมกับการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการของลำไส้อุดกั้น จากภาวะลำไส้กลืนกันเอง (intussusception)

บางรายอาจเกิดแผลขนาดใหญ่ที่กระพุ้งลำไส้ใหญ่ (cecum) ตรงบริเวณท้องน้อยข้างขวา ทำให้มีไข้สูง ท้องอืดมาก ท้องเดิน กดเจ็บ คล้ายไส้ติ่งอักเสบ (ส่วนไส้ติ่งอักเสบจากเชื้ออะมีบาก็อาจพบได้แต่ค่อนข้างน้อย)

ในรายที่เป็นรุนแรงอาจเกิดภาวะลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเร็วร้าย (fulminant colitis) ซึ่งมักพบในเด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีภาวะขาดอาหาร หรือใช้ยาสเตียรอยด์ ทำให้มีการหลุดลอกของเยื่อบุลำไส้ใหญ่ปริมาณมาก และตกเลือดรุนแรงเป็นอันตรายถึงตายได้

ภาวะร้ายแรงอื่น ๆ เช่น ลำไส้ใหญ่ทะลุทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบตามมา ภาวะลำไส้ใหญ่พอง (toxic megacolon) ทำให้ผนังลำไส้แตกได้

นอกจากนี้ ยังอาจเกิดภาวะลำไส้ใหญ่ตีบ (ถ่ายอุจจาระลำบาก) หรือแผลที่ผิวหนังตรงบริเวณรอบ ๆ ทวารหนัก

เชื้ออาจแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ที่พบบ่อยคือ ตับ ทำให้เป็นฝีตับอะมีบา ส่วนน้อยอาจแพร่ไปที่ปอดและสมอง ทำให้เกิดการอักเสบหรือเป็นฝี


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย โดยมีสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในรายที่เป็นไม่มากอาจตรวจไม่พบอะไรชัดเจน บางรายอาจพบอาการท้องอืด ใช้เครื่องฟังตรวจที่หน้าท้องจะได้ยินเสียงโครกครากของลำไส้มากกว่าปกติ อาจมีอาการกดเจ็บเล็กน้อยตรงบริเวณท้องส่วนล่าง หรือคลำได้ตับโตเล็กน้อย

ในรายที่เป็นมากมักมีไข้สูง มีภาวะขาดน้ำ กดเจ็บทั่วบริเวณท้อง อาจพบตับโตและกดเจ็บ ความดันต่ำ

ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจคลำได้ก้อนที่บริเวณท้องน้อยข้างขวา เรียกว่า อะมีโบมา (ameboma) ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นมะเร็งได้

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจหาเชื้อในอุจจาระ บางรายอาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การใช้กล้องส่องตรวจลำไส้ใหญ่ (sigmoidocopy‚ colonoscopy) การทดสอบทางน้ำเหลืองด้วยวิธี ELISA เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้การรักษาตามอาการ (เช่น ยาลดไข้ ให้อาหารบำรุงร่างกาย) และให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เมโทรไนดาโซล หรือทินิดาโซล

2. ถ้ามีอาการปวดท้องรุนแรง หน้าท้องกดเจ็บมากหรือเกร็งแข็ง ตับโตและกดเจ็บมาก ถ่ายเป็นเลือดรุนแรง ปวดศีรษะรุนแรง หายใจหอบหรือชัก แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

3. ถ้ามีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง คลำได้ก้อนในท้อง หรือน้ำหนักลดฮวบ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ เช่น เอกซเรย์ การตรวจอัลตราซาวนด์ การใช้กล้องส่องตรวจลำไส้ใหญ่ (sigmoidocopy‚ colonoscopy) เป็นต้น และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายเป็นปกติใน 1-3 สัปดาห์ ส่วนน้อยที่เกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งหากรักษาได้ทันการณ์ก็จะหายเป็นปกติได้ แต่ถ้าได้รับการรักษาล่าช้าไป ก็อาจได้รับอันตรายถึงเสียชีวิตได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือดกะปริดกะปรอย มูกมีกลิ่นเหม็นเหมือนหัวกุ้งเน่า ควรปรึกษาแพทย์


เมื่อตรวจพบว่าเป็นบิดอะมีบา ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
 
2. กินยาปฏิชีวนะตามขนาดและครบระยะเวลาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
 
3. ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

4. ควรกลับไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้สูง หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    ปวดศีรษะรุนแรง ชัก ปวดท้องรุนแรง หรืออาเจียน 
    หายใจหอบ ตาเหลืองตัวเหลือง หรือน้ำหนักลด 
    ท้องผูกหรือถ่ายอุจจาระลำบาก
    คลำได้ก้อนในท้อง
    ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
    หลังกินยามีผื่นคัน ตุ่มพุพอง ปากบวม ตาบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีความผิดปกติอื่น ๆ
    กินยาที่แพทย์แนะนำ 4-5 วันแล้วไม่ดีขึ้น
    มีความวิตกกังวล


การป้องกัน

ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันบิดชิเกลลา และท้องเดินจากเชื้อไกอาร์เดีย

ข้อแนะนำ

1. หลังการให้ยารักษา ถึงแม้ว่าอาการจะทุเลาเป็นปกติแล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้ควรทำการตรวจดูเชื้อในอุจจาระในเดือนที่ 1‚ 3 และ 6 หลังการรักษา ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเชื้อหลงเหลือซึ่งอาจทำให้โรคกำเริบใหม่ได้

2. ผู้ที่ติดเชื้ออะมีบาอาจมีอาการท้องเดิน (ถ่ายเหลว หรือถ่ายเป็นมูกไม่มีเลือดปน) เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังได้ หากสงสัยควรส่งตรวจดูเชื้ออะมีบาในอุจจาระ

3. ในผู้ที่ติดเชื้ออะมีบาบางรายอาจไม่มีอาการแสดงแต่อย่างใด แต่สามารถแพร่เชื้อออกทางอุจจาระไปให้ผู้อื่น เรียกว่า พาหะ (carrier) ของโรคบิดอะมีบา หากร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น กินยาสเตียรอยด์ก็อาจกลายเป็นโรคตามมาได้

4
วิธีแก้ไขปัญหาท่อลมร้อนอุดตัน

ปัญหาท่อลมร้อนอุดตัน เป็นเรื่องที่พบเจอบ่อยในโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากฝุ่นละอองและเศษวัสดุต่างๆ มักจะสะสมตัวอยู่ในท่อลม ทำให้ประสิทธิภาพในการดูดอากาศลดลง และอาจส่งผลต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานได้ การแก้ไขปัญหาท่อลมร้อนอุดตันจึงเป็นสิ่งสำคัญ

สาเหตุของการอุดตัน

ฝุ่นละออง: เป็นสาเหตุหลักของการอุดตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงงานที่มีฝุ่นละอองมาก
เศษวัสดุ: เศษวัสดุจากกระบวนการผลิต เช่น เศษไม้ เศษโลหะ อาจหลุดเข้าไปอุดตันในท่อ
เส้นใย: เส้นใยจากวัสดุต่างๆ เช่น ผ้า หรือกระดาษ อาจติดอยู่ตามผนังด้านในของท่อ
ไขมันและน้ำมัน: ในโรงงานผลิตอาหารหรือโรงงานที่มีการใช้น้ำมัน อาจมีไขมันและน้ำมันเกาะติดตามผนังด้านในของท่อ

วิธีการแก้ไขปัญหาท่อลมร้อนอุดตัน

ปิดระบบ: ก่อนทำการแก้ไขปัญหา ควรปิดระบบท่อลมร้อนเพื่อความปลอดภัย
ตรวจสอบตำแหน่งที่อุดตัน: ตรวจสอบตำแหน่งที่คาดว่าจะเกิดการอุดตัน เช่น ตัวกรอง ท่อโค้ง หรือข้อต่อต่างๆ
ทำความสะอาดตัวกรอง: ทำความสะอาดตัวกรองตามวิธีที่แนะนำในคู่มือ หรือใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดฝุ่นละอองออก
ใช้เครื่องมือทำความสะอาดท่อ:
แปรงทำความสะอาดท่อ: ใช้แปรงขนแข็งทำความสะอาดคราบสกปรกที่เกาะติดตามผนังด้านในของท่อ
สายน้ำแรงดันสูง: ใช้สายน้ำแรงดันสูงฉีดล้างท่อ
เครื่องดูดฝุ่นอุตสาหกรรม: ใช้เครื่องดูดฝุ่นขนาดใหญ่ดูดเศษวัสดุที่อุดตัน
ตรวจสอบและทำความสะอาดพัดลม: ตรวจสอบใบพัดและส่วนประกอบอื่นๆ ของพัดลมว่ามีสิ่งสกปรกอุดตันหรือไม่
ตรวจสอบข้อต่อ: ตรวจสอบความแน่นหนาของข้อต่อต่างๆ หากพบว่ามีรอยรั่วควรซ่อมแซมให้เรียบร้อย
เปลี่ยนตัวกรอง: หากตัวกรองเสียหายหรืออุดตันเกินกว่าจะทำความสะอาดได้ ควรเปลี่ยนตัวกรองใหม่
ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันการอุดตัน: ติดตั้งอุปกรณ์กรองเพิ่มเติม เช่น กรองตาข่าย เพื่อป้องกันไม่ให้เศษวัสดุขนาดใหญ่เข้าไปอุดตันในท่อ

การป้องกันปัญหาท่อลมร้อนอุดตัน

ทำความสะอาดตัวกรองเป็นประจำ: ทำความสะอาดตัวกรองตามกำหนดเวลาที่กำหนด
ตรวจสอบระบบเป็นประจำ: ตรวจสอบระบบท่อลมร้อนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจหาปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
หลีกเลี่ยงการทิ้งเศษวัสดุลงในท่อ: ไม่ทิ้งเศษวัสดุ เช่น กระดาษ หรือเศษอาหาร ลงในท่อ
เลือกใช้ตัวกรองที่มีคุณภาพ: เลือกใช้ตัวกรองที่เหมาะสมกับชนิดของฝุ่นละอองและปริมาณอากาศ
หากคุณไม่สามารถแก้ไขปัญหาท่อลมร้อนอุดตันได้ด้วยตัวเอง ควรปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญ

5
ความสำคัญกับการติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน ในโรงงาน

การติดตั้ง ฉนวนกันความร้อนในโรงงานอุตสาหกรรม มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และถือเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาวมากกว่าแค่การประหยัดค่าใช้จ่ายครับ นี่คือเหตุผลหลักๆ ที่เน้นย้ำถึงความสำคัญนี้:


ความสำคัญของการติดตั้งฉนวนกันความร้อนในโรงงาน:

การควบคุมอุณหภูมิกระบวนการผลิต (Process Control):

โรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากมีกระบวนการผลิตที่ต้องควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความร้อนสูง (เช่น เตาหลอม, ท่อไอน้ำ) หรือความเย็นจัด (เช่น ห้องเย็น, ท่อสารทำความเย็น)

ฉนวนกันความร้อนช่วยให้สามารถ รักษาอุณหภูมิที่ต้องการให้คงที่ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียพลังงานความร้อนหรือความเย็นที่ไม่จำเป็น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์และประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต หากอุณหภูมิไม่คงที่ อาจทำให้สินค้าเสียหาย หรือกระบวนการผลิตหยุดชะงักได้

ประหยัดพลังงานอย่างมหาศาล:

โรงงานใช้พลังงานจำนวนมากในการควบคุมอุณหภูมิ ไม่ว่าจะเป็นระบบทำความร้อน ทำความเย็น หรือเครื่องจักรที่สร้างความร้อน

การติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่หลังคา ผนัง ท่อส่งไอน้ำ ท่อส่งของเหลวร้อน/เย็น หรืออุปกรณ์ต่างๆ จะช่วย ลดการถ่ายเทความร้อน ระหว่างภายในและภายนอก หรือระหว่างอุปกรณ์กับสภาพแวดล้อม ทำให้ระบบทำความร้อน/ทำความเย็นทำงานน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ ค่าไฟฟ้าและค่าเชื้อเพลิงลดลงอย่างมาก ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญ

ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงและยืดอายุเครื่องจักร:

อุณหภูมิที่สูงเกินไปหรือผันผวนบ่อยครั้ง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ เสื่อมสภาพเร็วขึ้น เช่น แบริ่ง ซีล มอเตอร์ หรือแม้กระทั่งโครงสร้างของเครื่องจักร

ฉนวนกันความร้อนช่วย รักษาอุณหภูมิการทำงานของเครื่องจักรให้คงที่และเหมาะสม ลดความเครียดจากความร้อน (Thermal Stress) และการสึกหรอ ทำให้เครื่องจักรมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ลดความถี่ในการซ่อมบำรุง และลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอะไหล่หรือซื้อเครื่องใหม่

เพิ่มความปลอดภัยให้กับพนักงาน:

ในโรงงานมีอุปกรณ์และท่อส่งที่มีอุณหภูมิสูงมาก ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อพนักงานหากสัมผัสโดน

การติดตั้งฉนวนกันความร้อนจะช่วย ลดอุณหภูมิพื้นผิว ของอุปกรณ์เหล่านี้ ทำให้ปลอดภัยต่อการสัมผัส ลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุจากการถูกความร้อนลวก ซึ่งนอกจากจะช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลและค่าชดเชยต่างๆ ด้วย

สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีขึ้น:

อุณหภูมิที่เหมาะสมภายในโรงงานช่วยให้พนักงานรู้สึกสบายตัวมากขึ้น ไม่เหนื่อยล้าจากความร้อนอบอ้าว ซึ่งส่งผลให้ ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่สบายตัว

ลดมลภาวะทางเสียง:

ฉนวนกันความร้อนหลายชนิดมีคุณสมบัติในการดูดซับเสียงได้ดี ช่วยลดเสียงรบกวนจากเครื่องจักรภายในโรงงาน หรือเสียงจากภายนอก ทำให้สภาพแวดล้อมการทำงานเงียบสงบขึ้น

เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม:

การลดการใช้พลังงานในโรงงานโดยตรงหมายถึงการ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emissions) สู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดภาวะโลกร้อน และแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร

ป้องกันการควบแน่นและการกัดกร่อน:

ในระบบทำความเย็น หากไม่มีฉนวนหรือฉนวนเสียหาย จะเกิดการควบแน่นของไอน้ำบนพื้นผิวเย็น ซึ่งนำไปสู่การเกิดสนิม การกัดกร่อน และความเสียหายต่อท่อและอุปกรณ์ ฉนวนช่วยป้องกันปัญหานี้ได้

การลงทุนในฉนวนกันความร้อนที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับประเภทของโรงงาน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในยุคปัจจุบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มความปลอดภัย และสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาวครับ








6
ซ่อมบำรุงอาคาร: การเลือกใช้แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

ในเมืองร้อนอย่างประเทศไทยของเราเครื่องปรับอากาศหรือแอร์ กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกบ้านต้องมีติดไว้ ยิ่งถ้าบ้านไหนมีสมาชิกในบ้านที่ขี้ร้อนด้วย เครื่องปรับอากาศ ถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป้นเป็นอย่างมาก และคงจะต้องทำงานหนักตลอดทั้งวัน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยก็คือการดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศอยู่เสมอ
เพื่อให้อยู่ทนอยู่นานให้คุณได้ใช้ประโยชน์ในระยะยาว จะได้ไม่ต้องเสียเงินเปลี่ยนใหม่อยู่บ่อย ๆ ซึ่งในปัจจุบัน แอร์อินเวอร์เตอร์ ก็เป็นระบบเครื่องปรับอากาศที่ยังคงมาแรง และแทบทุกบ้านในปัจจุบันนิยมติดตั้งเพื่อให้ความเย็นภายในบ้าน ซึ่งมีจุดเด่นคือ มอเตอร์ทำงานเงียบ เย็นเร็ว ประหยัดพลังงานด้วย เป็นระบบมอเตอร์กระแสตรง หรือคอมเพรสเซอร์แบบสวิง ไม่มีช่องว่างระหว่างแกนหมุน


ทำให้ลดแรงเสียดทานขณะหมุนได้ จึงช่วยให้ประหยัดพลังงานได้อย่างเต็มที่ เพราะคอมเพรสเซอร์สตาร์ทครั้งเดียวและจะทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยใช้วิธีลดรอบการทำงาน เมื่ออุณหภูมิคงที่ รอบคอมเพรสเซอร์จะต่ำ ส่งผลให้เสียงเงียบ และไม่มีเสียงสตาร์ทของตัวมอเตอร์ระหว่างการทำงาน แล้วเราจะเลือกแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์อย่างไรให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อให้เราได้ประหยัดพลังงานมากที่สุด วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการเลือกใช้แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
 
ก่อนอื่นเราจะต้องเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างของระบบแอร์อินเวอร์เตอร์กับแอร์แบบทั่วไปก่อนว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งความแตกต่างของ แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ และแอร์ทั่วไปคือ การทำงานของ ระบบ Inverter เมื่อเริ่มเปิดแอร์ อุณหภูมิของแอร์จะค่อย ๆ ลดลง จนถึงระดับที่ตั้งไว้ แล้วตัวคอมเพรสเซอร์จะปรับรอบการทำงาน เพื่อให้อุณหภูมิภายในห้องมีความคงที่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะแตกต่างจากแอร์ทั่วไป ที่เมื่อเปิดแอร์แล้ว อุณหภูมิของแอร์จะลดลงต่ำกว่าอุณหภูมิที่ตั้งไว้ประมาณ 1-2 องศา และเมื่อใช้งานได้สักระยะ ระบบคอมเพรสเซอร์แอร์จะตัดการทำงาน ส่งผลให้อุณภูมิค่อย ๆ ปรับระดับสูงขึ้นกว่าที่ตั้งไว้ประมาณ 1-2 องศา แล้วระบบคอมเพรสเซอร์จะเริ่มตัดอีกครั้ง

 
ซึ่งการที่คอมเพรสเซอร์แอร์ตัดอยู่ตลอดเวลานั้นส่งผลให้อุณหภูมิภายในห้องไม่คงที่นั่นเอง สำหรับเคล็ดลับการเลือกใช้แอร์อินเวอร์เตอร์ให้เหมาะสมก็คือ แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานตลอดเวลาที่ยาวนานและต่อเนื่องหลายชั่วโมง เช่น ห้องทำงาน ห้องนอน หรือต้องการห้องที่มีอุณหภูมิที่สม่ำเสมอและเงียบสงบ การใช้แอร์ที่ไม่มีอินเวอร์เตอร์ เหมาะสำหรับห้องที่ไม่ต้องการความเย็นตลอดเวลา ประหยัด และมักนิยมใช้ขณะที่ต้องเข้ามาใช้ห้องเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น จะเห็นได้ว่าในระยะยาวระบบอินเวอร์เตอร์


ย่อมมีผลดีกว่าระบบเดิมๆ อย่างมากเพราะเป็นระบบที่มีเสียงเงียบ มีประสิทธิภาพในการควบคุมอุณหภูมิได้คงที่มากกว่า อีกทั้งยังกินไฟน้อยกว่า ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา การทำความสะอาดด้วย ไม่ใช่เป็นที่ระบบแต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้น หากยังต้องการประหยัด ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนเป็นระบบอินเวอร์เตอร์ให้สิ้นเปลือง
ตราบใดที่ยังคงใช้งานแอร์ระบบเดิมได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง อย่างไรก็ตาม แม้ว่า แอร์ อินเวอร์เตอร์จะมีข้อดีในการใช้งาน แต่ก็มีข้อเสียที่เราจะต้องศึกษาก่อนการเลือกซื้อ หรืออาจจะต้องปรึกษาช่างที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะด้วยระบบการทำงานภายในที่ซับซ้อน จึงทำให้แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ มีราคาที่สูงกว่าแอร์ระบบธรรมดาทั่ว ๆ ไป รวมถึงการดูแลบำรุงรักษาก็จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงตามไปด้วยเช่นกัน


อย่างไรก็ตาม ทางเรา อยากให้ทุกครอบครัวได้สร้างบรรยากาศภายในครอบครัวให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีอยู่เสมอ ด้วยการทำความสะอาดบ้านช่องให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจัยหลายๆอย่างในบ้านของเรา สามารถสร้างบรรยากาศที่ดีในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีๆ ได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี เพราะสุขภาพที่ดีสามารถทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


นอกจากนี้ เรายังมีบริการระบบไฟฟ้าภายในอาคาร ระบบการจัดการน้ำ ระบบปรับอากาศ และหมุนเวียนอากาศ งานบำรุงรักษาโครงสร้างอาคาร ระบบป้องกันเพลิง รวมไปถึงระบบสื่อสาร และกล้องวงจรปิด เพื่อให้ลูกค้าได้มีความสะดวกสบายในการบำรุงรักษาระบบต่างๆภายในอาคารบ้านเรือน มั่นใจได้เลยว่า บริการของเรานั้น ดำเนินงานโดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ สามารถตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างแน่นอน

7
บริหารจัดการอาคาร: ระบบการติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น

ระบบการติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นเป็นกระบวนการที่สำคัญและต้องทำอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ใช้งาน เนื่องจากเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับทั้งไฟฟ้าและน้ำ การติดตั้งที่ไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่ไฟฟ้าลัดวงจร ไฟดูด หรืออันตรายถึงชีวิตได้

การติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นโดยทั่วไปจะประกอบด้วย 3 ระบบหลัก ที่ทำงานร่วมกันเพื่อให้เครื่องทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ:

ระบบไฟฟ้า (Electrical System)

ระบบน้ำ (Plumbing System)

ระบบความปลอดภัย (Safety System)


1. ระบบไฟฟ้า (Electrical System)

เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดและต้องได้รับการติดตั้งอย่างถูกต้องตามมาตรฐานการไฟฟ้าและคำแนะนำของผู้ผลิต

แหล่งจ่ายไฟ (Power Supply): เครื่องทำน้ำอุ่นต้องการกำลังไฟสูง ดังนั้นควรมีสายไฟเมน (Main Wire) และมิเตอร์ไฟฟ้าของบ้านที่เพียงพอต่อการรองรับกำลังไฟของเครื่องทำน้ำอุ่น (ดูรายละเอียดในคำตอบก่อนหน้าเกี่ยวกับขนาดมิเตอร์)

สายไฟเฉพาะ (Dedicated Wiring):

เครื่องทำน้ำอุ่นควรมี สายไฟแยกต่างหาก (Dedicated Circuit) เดินตรงมาจากตู้ควบคุมไฟฟ้า (Consumer Unit / Load Center) โดยไม่ใช้ร่วมกับปลั๊กไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ

ขนาดหน้าตัดของสายไฟต้องเหมาะสมกับกำลังวัตต์ของเครื่องทำน้ำอุ่น ตามมาตรฐาน มอก. และคำแนะนำของผู้ผลิต (เช่น 3,500W ใช้ 2.5 sq.mm., 4,500W ใช้ 4 sq.mm., 6,000W ใช้ 6 sq.mm.)

เบรกเกอร์ (Circuit Breaker):

ต้องติดตั้งเบรกเกอร์แยกเฉพาะสำหรับเครื่องทำน้ำอุ่นในตู้ควบคุมไฟฟ้า ขนาดของเบรกเกอร์ต้องเหมาะสมกับกำลังวัตต์ของเครื่อง (เช่น 15A สำหรับ 3,500W, 20A สำหรับ 4,500W, 30A สำหรับ 6,000W)

เบรกเกอร์ทำหน้าที่ตัดกระแสไฟฟ้าอัตโนมัติหากเกิดการใช้กระแสไฟเกิน หรือไฟฟ้าลัดวงจร

ระบบสายดิน (Grounding System):

สำคัญที่สุด! เครื่องทำน้ำอุ่นทุกเครื่อง ต้อง มีการต่อสายดินอย่างถูกต้องและสมบูรณ์

สายดินจากเครื่องทำน้ำอุ่นจะต้องเชื่อมต่อกับหลักดิน (Ground Rod) ที่ฝังลงไปในดินอย่างน้อย 1.5 - 2.4 เมตร (หรือตามมาตรฐานท้องถิ่น) เพื่อระบายกระแสไฟฟ้ารั่วลงสู่ดิน ป้องกันอันตรายจากไฟดูด

ควรมีการตรวจสอบความต้านทานของระบบสายดินเป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่ายังทำงานได้ดี


2. ระบบน้ำ (Plumbing System)

เกี่ยวข้องกับการจ่ายน้ำเข้าและน้ำออกของเครื่องทำน้ำอุ่น

ท่อประปา (Water Pipes):

ต้องมีการต่อท่อน้ำดีเข้าสู่เครื่องทำน้ำอุ่นอย่างถูกต้อง โดยทั่วไปจะมีช่องสำหรับน้ำเข้า (Inlet) และน้ำออก (Outlet) กำกับไว้

ท่อควรมีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงดันและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง

วาล์วน้ำ (Stop Valve):

ควรติดตั้งวาล์วน้ำสำหรับเปิด-ปิดน้ำเข้าเครื่องทำน้ำอุ่น เพื่อความสะดวกในการบำรุงรักษาหรือซ่อมแซม

วาล์วลดแรงดัน (Pressure Relief Valve - PRV):

แม้เครื่องทำน้ำอุ่นส่วนใหญ่จะไม่มี Pressure Relief Valve แยกต่างหากเหมือนเครื่องทำน้ำร้อนถังใหญ่ แต่ระบบภายในเครื่องก็ถูกออกแบบมาให้รองรับแรงดันน้ำได้ระดับหนึ่ง หากน้ำแรงเกินไปอาจต้องพิจารณาติดตั้งวาล์วลดแรงดันที่ทางเข้าน้ำของบ้านโดยรวม (ไม่ใช่ที่เครื่องทำน้ำอุ่นโดยตรง) เพื่อป้องกันความเสียหายต่อเครื่องและระบบประปา

ท่อระบายน้ำออก (Shower Head/Hand Shower):

ต่อจากช่องน้ำออกของเครื่องทำน้ำอุ่นไปยังหัวฝักบัวสำหรับใช้งาน


3. ระบบความปลอดภัย (Safety System)

เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการป้องกันอันตรายจากการใช้งานเครื่องทำน้ำอุ่น

เครื่องตัดไฟรั่วอัตโนมัติ (Earth Leakage Circuit Breaker - ELCB หรือ Residual Current Device - RCD / RCBO):

เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดในการป้องกันไฟดูด

ELCB จะตรวจจับกระแสไฟฟ้าที่รั่วไหลลงดิน หากมีการรั่วไหลแม้เพียงเล็กน้อย (โดยทั่วไปที่ 10-30 มิลลิแอมป์) เครื่องจะทำการตัดกระแสไฟทันที ภายในเสี้ยววินาที เพื่อป้องกันอันตรายต่อผู้ใช้งาน

เครื่องทำน้ำอุ่นรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จะมี ELCB ในตัวเครื่อง แต่เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ควรติดตั้ง ELCB ที่แผงควบคุมไฟฟ้าหลักของบ้าน (หรือที่ Main Breaker) เพิ่มเติม เพื่อให้ครอบคลุมระบบไฟฟ้าทั้งหมดในห้องน้ำ


เทอร์โมสตัท (Thermostat):

เป็นอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิน้ำให้คงที่ตามที่ตั้งไว้ และจะตัดการทำงานของเครื่องทำน้ำอุ่นเมื่ออุณหภูมิน้ำสูงเกินไป เพื่อป้องกันน้ำร้อนลวก


ตัวควบคุมการไหลของน้ำ (Flow Switch/Reed Switch):

จะสั่งให้เครื่องทำน้ำอุ่นทำงานเมื่อมีปริมาณน้ำไหลผ่านในระดับที่เหมาะสม และจะหยุดทำงานทันทีหากน้ำไหลอ่อนเกินไป หรือไม่มีน้ำไหลผ่าน เพื่อป้องกันเครื่องร้อนจัดและเสียหาย


เซ็นเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิความร้อนสูงเกิน (Thermal Cut-Out):

เป็นระบบความปลอดภัยอีกขั้นที่จะตัดวงจรไฟฟ้าทั้งหมดหากตรวจพบว่าอุณหภูมิของน้ำสูงผิดปกติเกินจุดที่เทอร์โมสตัทปกติควบคุมได้ ซึ่งเป็นสัญญาณของความผิดปกติที่อาจนำไปสู่น้ำร้อนลวกอย่างรุนแรง


ขั้นตอนการติดตั้งโดยทั่วไป

เลือกตำแหน่งติดตั้ง: ควรอยู่ในห้องน้ำ ห่างจากบริเวณที่น้ำจะกระเด็นถึงปลั๊กไฟ (ถ้ามี) และสามารถติดตั้งสายดินได้สะดวก

เดินสายไฟ: เดินสายไฟจากตู้ควบคุมไฟฟ้ามายังจุดที่จะติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น โดยใช้ขนาดสายไฟที่เหมาะสมและร้อยในท่อร้อยสายไฟอย่างมิดชิด

ติดตั้งเบรกเกอร์และ ELCB: ติดตั้งในตู้ควบคุมไฟฟ้า

ติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น: ยึดเครื่องเข้ากับผนังให้แน่นหนา

ต่อระบบน้ำ: ต่อท่อน้ำดีเข้าสู่เครื่อง และต่อท่อจากเครื่องไปยังหัวฝักบัว

ต่อสายดิน: เชื่อมต่อสายดินจากเครื่องทำน้ำอุ่นเข้ากับระบบสายดินของบ้านให้แน่นหนา

ทดสอบการทำงาน:

ทดสอบระบบน้ำรั่วซึม

ทดสอบการทำงานของเครื่องทำน้ำอุ่น

ทดสอบ ELCB/RCBO โดยการกดปุ่ม Test/Trip เพื่อให้แน่ใจว่าทำงานปกติ (ควรกดทดสอบอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้งหลังการติดตั้ง)

ข้อควรเน้นย้ำ: การติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นเป็นงานที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางเกี่ยวกับไฟฟ้าและประปา เพื่อความปลอดภัย ควรให้ช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาต หรือช่างผู้เชี่ยวชาญจากร้านค้า/บริษัทผู้ผลิต ทำการติดตั้งเสมอ ห้ามติดตั้งด้วยตัวเองเด็ดขาด หากไม่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอ


8
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: นิ่วไต (Renal calculus/Kidney stone)

นิ่วไต (นิ่วในไต ก็เรียก) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศและทุกวัย แต่จะพบมากในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และพบมากในช่วงอายุ 30-40 ปี

ในบ้านเราพบมากทางภาคเหนือ และภาคอีสาน

นิ่วอาจมีขนาดต่าง ๆ กัน อาจมีเพียงก้อนเดียว หรือหลายก้อนก็ได้ ส่วนมากมักเป็นที่ไตเพียงข้างเดียว ที่เป็นทั้ง 2 ข้างอาจพบได้บ้าง บางรายอาจเป็นซ้ำ ๆ หลายครั้งก็ได้

ผู้ที่มีประวัติว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนิ่วไตและคนอ้วน มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าปกติ


สาเหตุ

ก้อนนิ่วที่เกิดขึ้นในไต ประกอบด้วยหินปูน (แคลเซียม) กับสารเคมีอื่น ๆ เช่น ออกซาเลต กรดยูริก เป็นต้น การเกิดนิ่วจึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะที่มีแคลเซียมในปัสสาวะมากผิดปกติ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะการกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง การดื่มนมมาก ๆ หรือมีภาวะผิดปกติอื่น ๆ (เช่น ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกิน ซึ่งทำให้มีแคลเซียมในเลือดสูง)

  นอกจากนี้ ยังพบเป็นโรคแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคเกาต์ ซึ่งมีการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ

บางกรณีอาจพบเป็นผลข้างเคียงของยา เช่น ยาต้านไวรัสเอดส์-อินดินาเวียร์ (indinavir) ยาขับปัสสาวะฟูโรซีไมด์ ยาแก้ลมชัก-โทพิราเมต (topiramate)

ส่วนกลไกของการเกิดนิ่วนั้น ในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่ามีปัจจัยร่วมกันหลายอย่างด้วยกัน เช่น การอยู่ในเขตร้อนที่ร่างกายสูญเสียเหงื่อง่าย (แล้วดื่มน้ำน้อย ทำให้ปัสสาวะมีปริมาณแคลเซียมเข้มข้น) การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ความผิดปกติของไต เป็นต้น

ผู้ที่ชอบกินอาหารที่มีสารออกซาเลตสูง (ดู "โรคนิ่วกระเพาะปัสสาวะ") หรือกินวิตามินซีขนาดสูง ๆ (ซึ่งจะกลายเป็นสารออกซาเลต) ก็อาจเป็นนิ่วได้มากกว่าคนปกติ


อาการ

ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเอวปวดหลังข้างใดข้างหนึ่ง ลักษณะปวดแบบเสียด ๆ หรือปวดบิดเป็นพัก ๆ อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะอาจมีลักษณะขุ่นแดง หรือมีเม็ดทราย

ถ้าก้อนนิ่วมีขนาดเล็ก อาจตกลงมาที่ท่อไต ทำให้เกิดอาการปวดบิดในท้องรุนแรง (ดู "โรคนิ่วท่อไต")

  บางรายอาจไม่มีอาการแสดงเลยก็ได้ และอาจตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพด้วยสาเหตุอื่น


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดการติดเชื้อกลายเป็นกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน และถ้าปล่อยไว้นาน ๆ มีการติดเชื้อบ่อย ๆ ก็ทำให้เนื้อไตเสีย กลายเป็นไตวายเรื้อรังได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจปัสสาวะ (พบมีเม็ดเลือดแดงจำนวนมาก) ตรวจเลือด เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การถ่ายภาพรังสีไตด้วยการฉีดสารทึบรังสี (intravenous pyelogram/IVP) บางรายอาจนำปัสสาวะไปวิเคราะห์ดูสารที่เป็นปัจจัยของการเกิดนิ่ว


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

    ถ้ามีอาการปวดให้ยาแก้ปวด หรือแอนติสปาสโมดิก
    ถ้ามีการติดเชื้อ ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน โคไตรม็อกซาโซล โอฟล็อกซาซิน หรือไซโพรฟล็อกซาซิน
    ในรายที่มีสาเหตุชัดเจน ควรจะให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น ให้ยารักษาโรคเกาต์ในรายที่เป็นโรคเกาต์, ถ้าเกิดจากต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกิน ก็ทำการแก้ไขด้วยยาหรือการผ่าตัด เป็นต้น
    ถ้านิ่วก้อนเล็กอาจหลุดออกมาได้เอง หรืออาจรักษาด้วยการใช้กล้องส่อง (ureteroscope) สอดใส่ผ่านทางท่อปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ ขึ้นไปตามท่อไต แล้วใช้เครื่องมือในการนำเอานิ่วออกมา หรือทำให้นิ่วแตกละเอียดแล้วหลุดออกมากับปัสสาวะ แพทย์อาจใส่หลอดลวดตาข่าย (stent) ถ่างขยายค้างไว้ในท่อไต เพื่อให้ปัสสาวะไหลออกได้สะดวก
    ถ้าก้อนใหญ่ก็จะทำการผ่าตัดเอานิ่วออก หรือใช้เครื่องสลายนิ่ว (extracorporeal shock wave lithotripsy/ESWL)

ผลการรักษา เมื่อเอานิ่วออกมาได้ก็จะหายเป็นปกติ แต่บางรายอาจเกิดนิ่วก้อนใหม่ในเวลาต่อมาก็จะให้การรักษาใหม่ ในรายที่เป็นนิ่วไตแล้วปล่อยให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ก็จะมีความยุ่งยากในการรักษาตามมา


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดเอวปวดหลังข้างใดข้างหนึ่ง ปัสสาวะมีลักษณะขุ่นแดง หรือมีเม็ดทราย ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นนิ่วไต ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    มีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดสีข้าง ปัสสาวะขุ่น
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. ดื่มน้ำมาก ๆ ประมาณวันละ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร) ระวังอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ

2. หลีกเลี่ยงการกินวิตามินซีขนาดสูงเป็นประจำ

3. ลดการกินพืชผักที่มีสารออกซาเลตสูง

4. บริโภคเนื้อสัตว์และอาหารที่มีแคลเซียมให้พอเพียง อย่าให้มากเกิน

5. ถ้าเป็นโรคเกาต์ ควรรักษาอย่างจริงจัง และควบคุมกรดยูริกให้อยู่ในระดับปกติ


ข้อแนะนำ

โรคนี้แม้จะไม่มีอาการแสดง ก็ควรจะรักษาอย่างจริงจัง และเมื่อรักษาหายแล้วควรป้องกันไม่ให้เป็นซ้ำ โดยดื่มน้ำวันละ 2-3 ลิตร ดื่มน้ำมะนาววันละ 1 แก้ว (เพิ่มสารซิเทรตในปัสสาวะ ช่วยยับยั้งการเกิดนิ่ว) ลดอาหารที่มีกรดยูริก แคลเซียมและออกซาเลตสูง

9
หมอประจำบ้าน: คอพอก/ต่อมไทรอยด์โต (Goiter) คอพอกธรรมดา (Simple goiter/Nontoxic goiter)

คอพอก (ต่อมไทรอยด์โต) หมายถึง ภาวะที่ต่อมไทรอยด์* ตรงบริเวณคอหอยเกิดบวมโตผิดปกติ ทำให้คอโป่งเป็นลูกออกมาให้เห็นชัดเจน และสามารถคลำได้เป็นก้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาผู้ป่วยทำท่ากลืนน้ำลายก้อนนี้จะขยับขึ้นลงตามจังหวะการกลืน

คอพอกอาจมีลักษณะบวมโตแบบกระจาย (diffuse) หรือเป็นปุ่ม (เป็นปุ่มเดียวหรือหลายปุ่มก็ได้) อาจมีการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์เป็นปกติเรียกว่า คอพอกธรรมดา (simple goiter หรือ nontoxic goiter) สร้างไทรอยด์มากเกินเรียกว่า คอพอกเป็นพิษ หรือสร้างไทรอยด์น้อยเกินเรียกว่า ภาวะขาดไทรอยด์

ส่วนใหญ่จะเป็นชนิดไม่ร้าย (benign) คือไม่ใช่มะเร็ง มักพบว่ามีลักษณะบวมโตแบบกระจาย หรือเป็นปุ่มหลายปุ่ม (multinodule) เช่น คอพอกที่เกิดจากภาวะขาดไอโอดีน (คอพอกประจำถิ่น) คอพอกเป็นพิษที่มีชื่อว่า โรคเกรฟส์ ต่อมไทรอยด์อักเสบ เป็นต้น

คอพอกที่มีลักษณะเป็นปุ่มหรือก้อนเดี่ยว (solitary thyroid nodule) มักเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้าย เช่น เนื้องอกไทรอยด์ (benign adenoma) ถุงน้ำไทรอยด์ (thyroid cyst) แต่บางรายอาจเป็นมะเร็งไทรอยด์ ซึ่งอาจจำเป็นต้องวินิจฉันแยกโรคโดยการตรวจชิ้นเนื้อ (fine needle aspiration biopsy)

ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะคอพอกธรรมดา

*ต่อมไทรอยด์ (thyroid gland) เป็นต่อมไร้ท่อ (ต่อมเอนโดไครน์) ที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย อยู่ที่ลำคอด้านหน้า ต่ำกว่าลูกกระเดือกเล็กน้อย มีรูปร่างเหมือนเกือกม้า ประกอบด้วยปีกซ้ายและปีกขวา เชื่อมต่อกันด้วยส่วนที่เรียกว่าคอคอด (isthmus) ปกติจะมีขนาดใหญ่กว่านิ้วหัวแม่มือเล็กน้อยและมองเห็นไม่ชัดเจน
ต่อมนี้มีหน้าที่สร้างฮอร์โมน เรียกว่า ฮอร์โมนไทรอยด์ (thyroid hormone) หรือไทร็อกซีน (thyroxine) โดยใช้ไอโอดีนจากอาหารที่เรากินเข้าไปเป็นวัตถุดิบ และมีฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองที่เรียกว่า ฮอร์โมนกระตุ้นไทรอยด์ (thyroid stimulating hormone/TSH) เป็นตัวควบคุมการทำงานของต่อมไทรอยด์
ฮอร์โมนไทรอยด์มีหน้าที่ควบคุมการเผาผลาญ (เมตาบอลิซึม) ของเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย ถ้ามีฮอร์โมนนี้มากเกินไป ร่างกายจะถูกกระตุ้นให้ทำงานมากผิดปกติ เกิดเป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกินหรือคอพอกเป็นพิษ ตรงกันข้าม ถ้ามีฮอร์โมนนี้น้อยเกินไป ร่างกายก็จะเฉื่อยชาเกิดโรคที่เรียกว่า ภาวะขาดไทรอยด์
ถ้าขาดฮอร์โมนนี้มาตั้งแต่เล็ก ๆ จะทำให้เด็กเจริญเติบโตไม่ดี ตัวเตี้ยแคระ ปัญญาอ่อน เรียกว่า สภาพแคระโง่ (cretinism) หรือเด็กเครติน (cretin)

สาเหตุ

คอพอกธรรมดา บางรายอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ที่ทราบสาเหตุ ได้แก่

    ภาวะขาดธาตุไอโอดีน (ซึ่งมีมากในเกลือทะเลและอาหารทะเล) ภาวะนี้จึงพบมากทางภาคเหนือและภาคอีสานในแถบที่ราบสูงหรือใกล้เขตภูเขา ซึ่งขาดแคลนเกลือทะเลและอาหารทะเล เมื่อร่างกายขาดธาตุไอโอดีนก็เกิดการขาดฮอร์โมนไทรอยด์ตามมา ทำให้ต่อมไทรอยด์ถูกฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง (ที่คอยกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงาน) กระตุ้นจนมีขนาดโตขึ้น กลายเป็นคอพอก

ในหมู่บ้านบางแห่ง อาจมีผู้ที่เป็นคอพอกเกือบทั้งหมดหมู่บ้าน จึงเรียกว่า คอพอกประจำถิ่น (endemic goiter)

โดยทั่วไปมักถือว่า ในชุมชนใดมีผู้ที่เป็นคอพอกจากการขาดธาตุไอโอดีนเกิน 10 คนใน 100 คน ก็บอกได้ว่าชุมชนนั้นมีคอพอกประจำถิ่นเกิดขึ้นแล้ว

    การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ด้านฮอร์โมน และเมตาบอลิซึม มักพบในผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น หรือกำลังตั้งครรภ์ ซึ่งร่างกายต้องการฮอร์โมนไทรอยด์ (ไทร็อกซีน) มากขึ้น ต่อมไทรอยด์จึงต้องทำงานมากกว่าธรรมดา ทำให้เกิดเป็นคอพอก เรียกว่า คอพอกสรีระ (physiologic goiter)
    จากผลของยา เช่น พีเอเอส และเอทิโอนาไมด์ (ethionamide) ที่สมัยก่อนเคยใช้รักษาวัณโรค เฟนิลบิวตาโชน ลิเทียม โพรพิลไทโอยูราซิล อะมิโนกลูเททิไมด์ (aminoglutethimide)
    ปุ่มไทรอยด์ (thyroid nodule) อาจเป็นปุ่มเดียวหรือหลายปุ่ม ส่วนใหญ่จะสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ได้เป็นปกติ ส่วนน้อยที่สร้างไทรอยด์มากเกิน หรือเป็นคอพอกเป็นพิษ บางรายอาจพบว่าเป็นมะเร็ง
    ถุงน้ำไทรอยด์ (thyroid cyst) มีลักษณะเป็นถุงหุ้มมีน้ำบรรจุอยู่ภายใน ขนาดอาจเล็กกว่า 1 ซม. หรือโตจนแลดูน่าเกลียด บางรายอาจพบว่าเป็นมะเร็ง
    ต่อมไทรอยด์อักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิดเรื้อรังจากภูมิต้านตนเอง (Hashimoto’s thyroiditis) ที่มีระดับฮอร์โมนไทรอยด์อยู่ในเกณฑ์ปกติ (euthyroid) ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของคอพอกธรรมดาได้

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการคอโต (คอพอก) กว่าปกติ โดยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น ไม่อ่อนเพลีย ไม่เหนื่อยง่าย น้ำหนักไม่ลด เป็นต้น แต่ถ้าก้อนโตมาก ๆ อาจทำให้เสียงแหบ กลืนลำบากหรือหายใจลำบากได้


ภาวะแทรกซ้อน

ต่อมไทรอยด์ที่มีขนาดโตมาก ๆ อาจกดหลอดอาหารทำให้กลืนลำบาก ถ้ากดถูกเส้นประสาทกล่องเสียงก็อาจทำให้เสียงแหบได้

ในรายที่มีต่อมไทรอยด์โตขยายลงไปที่หลังกระดูกลิ้นปี่ (substernal goiter) ก็อาจกดหลอดลมทำให้หายใจลำบาก หรือถูกท่อเลือดดำส่วนบน (superior vena cava) ทำให้หน้าแดงคล้ำหน้าบวมได้

ถุงน้ำไทรอยด์ อาจมีเลือดออกในถุงน้ำ ทำให้มีอาการเจ็บปวดและก้อนโตกดอวัยวะข้างใต้ทำให้กลืนลำบาก หรือเสียงแหบ

เด็กที่เกิดจากมารดาที่มีภาวะขาดไอโอดีน อาจเกิดภาวะขาดไทรอยด์ตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการทางร่างกายและสมอง ทำให้ตัวเตี้ยแคระ หูหนวก เป็นใบ้ และปัญญาอ่อน เรียกว่า สภาพแคระโง่ประจำถิ่น (endemic cretinism) หรือเด็กเครติน (cretin) ซึ่งทางภาคเหนืออันเป็นเขตที่มีความชุกของโรคนี้ นิยมเรียกว่า โรคเอ๋อ (ดูภาวะไทรอยด์เพิ่มเติม)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจพบต่อมไทรอยด์โตจนคลำได้ชัดเจน

ถ้าเป็นถุงน้ำจะมีลักษณะนุ่มหรือหยุ่น ๆ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือดทดสอบการทำงานของไทรอยด์ (thyroid function test) ได้แก่ ฮอร์โมนไทร็อกซีน และฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ (TSH) ตรวจเลือดหาระดับสารภูมิต้านทานต่อไทรอยด์ ตรวจระดับไอโอดีนในปัสสาวะ สแกนต่อมไทรอยด์ (thyroid scan) อัลตราซาวนด์ต่อมไทรอยด์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ใช้เข็มเจาะ (aspiration) ตรวจเซลล์มะเร็ง ตรวจชิ้นเนื้อ (fine needle aspiration biopsy) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

สำหรับคอพอกธรรมดา (ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ปกติ) แพทย์จะให้การรักษาตามสาเหตุ ดังนี้

    คอพอกประจำถิ่น (ตรวจพบระดับไอโอดีนในปัสสาวะต่ำ) ให้กินเกลือไอโอดีน (เกลืออนามัย) หรือยาไอโอไดด์ (อาจเป็นชนิดเม็ด หรือชนิดน้ำ เช่น Lugol’s solution) เป็นประจำ

- โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร ควรได้รับการรักษาอย่างจริงจังเพื่อป้องกันมิให้ลูกที่เกิดมากลายเป็นเด็กเครติน หรือโรคเอ๋อ
- ถ้าคอโตมาก ๆ หรือมีอาการหายใจหรือกลืนลำบาก อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

    คอพอกที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ซึ่งพบในสาววัยรุ่นและหญิงตั้งครรภ์ โดยทั่วไปคอจะโตไม่มาก หรือแทบสังเกตไม่เห็น ก็ไม่ต้องให้การรักษาแต่อย่างใด จะยุบหายได้เอง เมื่อพ้นระยะวัยรุ่นหรือหลังคลอด

- แต่ถ้าคอโตมาก แพทย์จะให้ฮอร์โมนไทรอยด์ ได้แก่ เลโวไทร็อกซีน (levothyroxine) ซึ่งอาจต้องกินนานเป็นปี ๆ ช่วยให้คอยุบได้
- แต่ถ้าคอโตมาก ๆ อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

    ในรายสงสัยว่าเกิดจากยา ควรหยุดยาที่กินหรือเปลี่ยนไปใช้ยาอื่นแทนก็จะช่วยให้คอยุบหายไปได้เอง
    ปุ่มไทรอยด์ ถ้าเป็นหลายปุ่มที่ไม่มีภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน หรือปุ่มเดี่ยว แพทย์จะทำการตรวจชิ้นเนื้อ (fine needle aspiration biopsy) ถ้าไม่พบว่าเป็นมะเร็ง ก็จะลองติดตามทุก 1-2 เดือน ถ้าก้อนไม่ยุบจะทำการตรวจชิ้นเนื้อซ้ำทุก 2 เดือนอย่างน้อย 3 ครั้ง

ถ้าก้อนไม่ยุบ แพทย์จะให้ฮอร์โมนไทรอยด์ ได้แก่ เลโวไทร็อกซีน (levothyroxine) นาน 6 เดือน ถ้าก้อนยุบลงจะให้ยานานต่อไปประมาณ 2 ปี ถ้าก้อนไม่ยุบก็จะหยุดยา และอาจต้องทำการผ่าตัดถ้าก้อนโตมากหรือมีอาการเสียงแหบ กลืนลำบากหรือหายใจลำบาก

ยานี้ต้องระวังอย่าใช้เกินขนาด อาจทำให้มีอาการใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะเจ็บแน่นหน้าอก อาเจียนท้องเดิน นอนไม่หลับ มือสั่น น้ำหนักลดได้

    ถุงน้ำไทรอยด์ แพทย์จะใช้เข็มเจาะดูดน้ำและนำไปตรวจหาเซลล์มะเร็ง ส่วนน้อยที่อาจพบว่าเป็นมะเร็ง ก็ให้การรักษาแบบมะเร็งไทรอยด์ ส่วนใหญ่จะเป็นถุงน้ำชนิดไม่ร้าย ถ้าก้อนมีขนาดเล็กก็ไม่ต้องทำอะไร ถ้าก้อนขนาดใหญ่จะทำการเจาะดูดน้ำออกแล้วติดตามผลทุก 2-4 สัปดาห์ ถ้าก้อนไม่ยุบอาจเจาะซ้ำหลายครั้ง ถ้าไม่ยุบหรือโตขึ้น ก็อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
    ต่อมไทรอยด์อักเสบเรื้อรังจากภูมิต้านตนเอง ในระยะที่มีระดับฮอร์โมนไทรอยด์อยู่ในเกณฑ์ปกติ ควรติดตามตรวจเลือดเป็นระยะ ถ้าหากพบว่ามีภาวะขาดไทรอยด์ตามมาควรให้ฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน (ดูโรคต่อมไทรอยด์อักเสบ)


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการคอโต (คอพอก) กว่าปกติ หรือคลำได้ปุ่มหรือก้อนของไทรอยด์ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นคอพอกหรือต่อมไทรอยด์โต ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น น้ำหนักลด หรือคอโตมากขึ้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. สำหรับคอพอกประจำถิ่นที่เกิดจากการขาดธาตุไอโอดีน สามารถป้องกันด้วยการกินอาหารทะเลหรือกินเกลือที่ผสมธาตุไอโอดีน (เกลืออนามัย)

2. ในหมู่บ้านที่มีปัญหาคอพอกประจำถิ่น (มีคนที่เป็นคอพอกจากการขาดธาตุไอโอดีนเกิน 10 คนใน 100 คน) ควรมีการรณรงค์ให้ใช้เกลืออนามัยกันทุกครัวเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงที่ตั้งครรภ์ หญิงที่ให้นมบุตร และเด็กเล็ก ๆ เพื่อป้องกันมิให้เด็ก ๆ กลายเป็นเด็กเครติน


ข้อแนะนำ

1. ทุกครั้งที่พบผู้ป่วยคอพอก ควรแยกให้ออกว่าเป็นคอพอกธรรมดา หรือคอพอกเป็นพิษ เพราะการรักษาต่างกัน

โดยทั่วไป คอพอกธรรมดาจะไม่มีอาการผิดปกติของร่างกาย (ยกเว้นคอโต) ส่วนคอพอกเป็นพิษ จะมีอาการแสดงได้หลายอย่าง (ดู "ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน/พิษจากไทรอยด์/คอพอกเป็นพิษ”)

2. ผู้ป่วยที่เป็นคอพอกที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย (ที่พบในหญิงตั้งครรภ์หรือหญิงวัยรุ่น) มักจะไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด และจะยุบหายได้เอง จึงไม่ต้องกังวลใจ

3. หากคอพอกลักษณะเป็นปุ่มแข็งควรส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เนื่องเพราะอาจมีสาเหตุจากมะเร็งไทรอยด์ก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นปุ่มเดี่ยว

10
งานฝีมือ ทำกระเป๋าจากลวดไหม

การทำ กระเป๋าจากลวดไหม (หรือที่บางคนเรียกว่ากระเป๋าจากไหมเส้นใหญ่, ไหมเชือก, หรือไหมพรมเส้นยักษ์) เป็นงานฝีมือที่น่าสนใจและได้กระเป๋าที่มีเท็กซ์เจอร์โดดเด่น ไม่เหมือนใครเลยค่ะ ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่คุณเลือกใช้ จะได้กระเป๋าที่มีสไตล์แตกต่างกันไป ลองดูไอเดียและวิธีการหลักๆ เหล่านี้ได้เลยค่ะ

1. กระเป๋าถักโครเชต์จากไหมพรมเส้นใหญ่/ไหมเชือก

เป็นวิธีที่นิยมที่สุดในการทำกระเป๋าจากไหมพรมหรือไหมเส้นใหญ่ค่ะ จะได้กระเป๋าที่มีความนุ่มนวล แต่ยังคงรูปทรงได้ดีหากเลือกไหมที่มีเส้นใยแข็งแรงพอสมควร

ไหมที่ใช้: ไหมพรมเส้นใหญ่พิเศษ (Chunky Yarn), ไหมเชือกคอตตอน (Cotton Rope Yarn), ไหมถักเส้นใหญ่สำหรับงานกระเป๋าโดยเฉพาะ (T-Shirt Yarn, Macramé Cord)

อุปกรณ์: เข็มโครเชต์ขนาดใหญ่ (เช่น เบอร์ 8.0 mm - 15.0 mm ขึ้นอยู่กับขนาดของไหม), กรรไกร, เข็มเย็บไหมพรม, ห่วง D-ring (สำหรับสายกระเป๋า)

วิธีทำโดยสังเขป:

เลือกแพทเทิร์น: หาแพทเทิร์นกระเป๋าโครเชต์ที่ชอบ (มีเยอะมากใน YouTube หรือ Pinterest) อาจจะเป็นกระเป๋าแบบง่ายๆ อย่างถุงหูรูด กระเป๋า Tote Bag หรือกระเป๋าสะพายข้าง

เริ่มต้น: ทำห่วงโซ่ (Chain Stitch) หรือ Magic Ring ตามแพทเทิร์น เพื่อสร้างฐานกระเป๋า

ถักตัวกระเป๋า: ถักลายโครเชต์พื้นฐาน เช่น ลายควักธรรมดา (Single Crochet), ลายควักครึ่งหลัก (Half Double Crochet), หรือลายควักหลัก (Double Crochet) วนไปเรื่อยๆ จนได้ความสูงของกระเป๋าที่ต้องการ

ทำขอบและหู/สายกระเป๋า: ถักเก็บขอบปากกระเป๋าให้เรียบร้อย อาจถักเป็นหูหิ้วในตัว หรือเย็บติดกับห่วง D-ring เพื่อทำเป็นสายสะพาย

เก็บปลายไหม: ซ่อนปลายไหมที่เหลือให้เรียบร้อยด้วยเข็มเย็บไหมพรม


2. กระเป๋าสาน/ถักแบบ Finger Knitting/Arm Knitting (ไม่ต้องใช้เข็ม)

เป็นเทคนิคที่ใช้มือแทนเข็ม เหมาะสำหรับไหมพรมเส้นใหญ่ยักษ์ หรือไหมเชือกขนาดใหญ่มากๆ ทำให้ได้กระเป๋าที่นุ่ม ฟู และมีเท็กซ์เจอร์ที่ไม่เหมือนใคร

ไหมที่ใช้: ไหมพรมเส้นยักษ์ (Giant Yarn), ไหมเชือกขนาดใหญ่

อุปกรณ์: กรรไกร, มือของคุณ!

วิธีทำโดยสังเขป:

ทำโซ่: เริ่มต้นด้วยการทำห่วงโซ่ด้วยนิ้วมือของคุณให้ได้ความยาวตามฐานกระเป๋าที่ต้องการ

ถักวน: ถักเป็นลายง่ายๆ เช่น ลาย Garter Stitch (เหมือนถักนิตติ้งธรรมดา) โดยใช้มือสอดและดึงห่วงไปมา หรือถักแบบโครเชต์โดยใช้นิ้วแทนเข็ม

ขึ้นรูป: ถักไปเรื่อยๆ จนได้ขนาดและความสูงของกระเป๋าที่ต้องการ

เก็บงาน: มัดหรือเย็บปลายไหมให้แน่นหนา


3. กระเป๋า Macramé (มาคราเม่) จากไหมเชือก

Macramé คือศิลปะการผูกปม ทำให้ได้ลวดลายที่สวยงามและมีความประณีต เป็นอีกทางเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับกระเป๋าจากไหมเชือก

ไหมที่ใช้: ไหมเชือกคอตตอน (Cotton Macramé Cord) ขนาดต่างๆ (นิยม 3mm - 6mm)

อุปกรณ์: กรรไกร, ไม้แขวนหรือหลักสำหรับยึดไหมขณะถัก, ห่วงไม้/ห่วงโลหะ (สำหรับหูหิ้ว), ตลับเมตร

วิธีทำโดยสังเขป:

เลือกแพทเทิร์น: หาแพทเทิร์นกระเป๋า Macramé ที่ชอบ (เน้นการใช้ปมพื้นฐาน เช่น Square Knot, Half Hitch Knot)

ตัดไหม: ตัดไหมเชือกตามความยาวที่แพทเทิร์นกำหนด

เริ่มต้นผูกปม: ผูกปมพื้นฐานตามแพทเทิร์น เพื่อสร้างลวดลายของตัวกระเป๋า

ขึ้นรูป: ผูกปมไปเรื่อยๆ ให้เกิดเป็นรูปทรงกระเป๋าที่ต้องการ (อาจต้องผูกปมแบบแบนราบแล้วนำมาเย็บประกอบกัน หรือผูกปมแบบวนขึ้นเป็นรูปทรง)

ทำหู/สายกระเป๋า: อาจใช้ห่วงไม้หรือห่วงโลหะมาผูกติดเป็นหูหิ้ว หรือผูกปมเป็นสายสะพาย

เก็บปลาย: ตัดปลายไหมให้เสมอกัน และอาจทำปมเล็กๆ หรือติดกาวร้อนเพื่อป้องกันไหมรุ่ย

4. กระเป๋าเย็บจากไหมพรม/ไหมเชือกที่ถักสำเร็จรูป
บางครั้งไหมพรมหรือไหมเชือกเส้นใหญ่จะมีลักษณะคล้ายผ้าที่ถักสำเร็จรูปเป็นเส้นยาวๆ คุณสามารถนำมาเย็บประกอบเป็นกระเป๋าได้เลย

ไหมที่ใช้: ไหมพรม/ไหมเชือกที่ถักเป็นเส้นยาวๆ คล้ายแถบผ้า (มักจะเห็นขายเป็นม้วนๆ)

อุปกรณ์: เข็มเย็บผ้า/เข็มเย็บหนัง (สำหรับไหมเส้นใหญ่), ด้ายเย็บที่แข็งแรง, กรรไกร, ซิป, ผ้าซับใน (ถ้าต้องการ)


วิธีทำโดยสังเขป:

ออกแบบ: วางแผนรูปทรงกระเป๋าที่ต้องการ (เช่น กระเป๋าคลัทช์, กระเป๋าดินสอ)

ตัดไหม: ตัดแถบไหมพรม/ไหมเชือกที่ถักสำเร็จรูปให้ได้ขนาดตามชิ้นส่วนกระเป๋าที่ต้องการ

เย็บประกอบ: เย็บชิ้นส่วนต่างๆ ของกระเป๋าเข้าด้วยกัน อาจเย็บด้วยมือหรือจักรเย็บผ้าที่สามารถเย็บไหมหนาๆ ได้

ติดซิป/หูหิ้ว: ติดซิป และเย็บสายกระเป๋าหรือหูหิ้ว

เย็บซับใน (ถ้าต้องการ): ตัดผ้าซับในให้มีขนาดเท่ากระเป๋า แล้วเย็บซับในเข้าไปด้านในกระเป๋า


เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับกระเป๋าจากลวดไหม:

เลือกไหมที่เหมาะสม: พิจารณาจากลักษณะเนื้อสัมผัสที่คุณต้องการ (นุ่ม ฟู หรือแข็งแรงอยู่ทรง) และขนาดของเส้นไหม

ความทนทาน: หากต้องการกระเป๋าที่ใช้งานหนัก ควรเลือกไหมที่ทนทานและอาจต้องเย็บผ้าซับในด้านใน

ขนาดเข็ม/มือ: เลือกขนาดเข็มโครเชต์ หรือใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับขนาดของไหมที่คุณเลือก

การดูแลรักษา: กระเป๋าไหมพรม/ไหมเชือกบางชนิดอาจต้องซักด้วยมืออย่างเบามือ และตากในที่ร่ม

การทำกระเป๋าจากลวดไหมเป็นงานที่ให้ความอิสระในการสร้างสรรค์สูงค่ะ ขอให้สนุกกับการออกแบบและประดิษฐ์กระเป๋าในสไตล์ที่เป็นของคุณเองนะคะ!

11
ที่เที่ยวไทย เชียงใหม่ หน้าฝน ถ่ายรูปสวย ฉ่ำๆ เที่ยวหน้าฝน สดชื่น

ที่เที่ยวเชียงใหม่ นอกจากในช่วงหน้าหนาวแล้ว วันฝนพรำ ฉ่ำๆ เย็นๆ ก็มีที่เที่ยวที่น่าแวะไปเหมือนกันค่ะ ตามเรามาได้เลยกับ 17 ที่เที่ยวเชียงใหม่ หน้าฝน ถ่ายรูปสวย รับรองว่าได้เที่ยวชิลไปแน่นอน เที่ยวหน้าฝน เย็นๆ สุดสดชื่น กันไปเลยจ้า!

1. ม่อนแจ่ม

ที่เที่ยวเชียงใหม่ หน้าฝน ม่อนแจ่ม

       ม่อนแจ่ม ที่เที่ยววิวสวยหลักล้านที่ เชียงใหม่ นั่นเองค่ะ ที่นี่มีวิวดีๆ อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี ยิ่งโดยเฉพาะช่วงหน้าฝน จะยิ่งเย็นชุ่มฉ่ำสดชื่นมากๆ และมีหมอกลอยปกคลุมทั่วทั้งเขา เหมาะกับการไปชิลใกล้ชิดธรรมชาติ ซึมซับบรรยากาศแบบชนบทสุดรีแลกซ์ค่ะ แถมใกล้ๆ ม่อนแจ่ม ยังมีที่พักมากมายในเราได้เลือกพักค้างคืนอีกด้วย ลองไปสูดไอดิน กลิ่นหญ้า นอนชิลสักคืนก็ฟินสุดๆ เลยจ้า

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : เวลาเปิด-ปิด แตกต่างกันไป ตามแต่ละสถานที่


2. บ้านป่าบงเปียง

     ไปสูดอากาศดี และรายล้อมไปด้วยทุ่งนาสีเขียวสวย ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ที่ บ้านป่าบงเปียง ค่ะ ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นทุ่งนาขั้นบันไดที่สวยมากๆ อีกแห่งของเมืองไทย นอกจากนาขั้นบันไดที่สวยงามจนต้องแวะถ่ายรูปรัวๆ แล้ว ไฮไลท์อีกอย่างของที่นี่คือ ยามเช้าที่ทุ่งนาจะถูกปกคลุมไปด้วยทะเลหมอกนั่นเอง

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : เวลาเปิด-ปิด แตกต่างกันไป ตามแต่ละสถานที่
    🖱 เว็บไซต์ : -


3. ป่าสนบ้านวัดจันทร์

      ป่าสนบ้านวัดจันทร์ ตั้งอยู่ใน โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ ตั้งอยู่กลางหุบเขา จึงทำให้ที่นี่มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี เป็นที่เที่ยวยอดฮิตอีกแห่งในช่วงหน้าฝน และหน้าหนาวค่ะ เพราะภาพสายหมอกลอยปกคลุมทิวต้นสน และอ่างเก็บน้ำ เป็นภาพที่ทุกคนต่างก็ประทับใจ และกลับมาเที่ยว ให้ร่างกายได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ รายล้อมไปด้วยต้นสนขนาดใหญ่ เป็นการพักชาร์จแบทไปในตัว นอกจากนี้ยังมีเส้นทางปั่นจักรยานให้ได้ชิลกันอีกด้วยค่ะ

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลบ้านจันทร์ อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.


4. สวนสนบ่อแก้ว

     สวนสนบ่อแก้ว ตั้งอยู่เลย อุทยานแห่งชาติออบหลวง ไปประมาณ 22 กิโลเมตร ที่เที่ยวสวยบรรยากาศเมืองนอก ได้ฟีลเหมือนไปชิลที่เกาะนามิของเกาหลีเลยทีเดียวค่ะ ที่นี่มีต้นสนสูงเรียงรายอย่างสวยงาม ใครอยากมาเที่ยว มาถ่ายรูปสวยๆ ดู แนะนำให้มาเที่ยวช่วงเช้าๆ จะเห็นม่านหมอกลอยปกคลุมตลอดแนวต้นสน อีกทั้งที่นี่จะมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี โดยเฉพาะหน้าฝนที่จะชุ่มฉ่ำมากๆ ทีเดียวค่ะ

    🌿 ที่อยู่ : ถนนฮอด-แม่สะเรียง ตำบลบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.
    🖱 เว็บไซต์ : -


5. วัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรม

       วัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรม เป็นวัดเก่าอีกแห่งของเชียงใหม่มากว่า 700 ปีค่ะ ที่นี่สร้างขึ้นใน สมัยพญามังราย และอุโมงค์ของวัดนั้นสร้างขึ้นเพื่อให้ พระมหาเถระจันทร์ ใช้เป็นที่วิปัสสนากรรมฐาน กำแพงภายในจึงเป็นหลายช่องทางเดินทะลุกันได้ แน่นอนว่านอกจากการมาไหว้พระ ทำบุญแล้ว ที่วัดอุโมงค์นั้นยังมีความสวยงามด้วยมอสที่ปกคลุมไปทั่ว โดยเฉพาะหน้าฝนที่จะมีมอสสีเขียวชอุ่มให้เราได้ถ่ายรูปสวยๆ อีกด้วย

    🌿 ที่อยู่ : 135 หมู่ 10 ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 05.00-20.00 น.


6. เก๊าไม้ล้านนา

      เก๊าไม้ล้านนา เป็นทั้ง ที่พัก ร้านอาหาร และคาเฟ่ค่ะ อีกหนึ่งพิกัดเขียวขจี ที่ถ่ายรูปสวยของเชียงใหม่ ไฮไลท์อยู่ตรงไม้เลื้อยที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณอาคารของตัวรีสอร์ท ทำให้ที่นี่เป็นมุมถ่ายรูปสวยมาๆ นอกจากนี้ เรายังไปจิบเครื่องดื่มฟินๆ ไปกับวิวสวยๆ มุมถ่ายรูปชิคๆ ที่คาเฟ่โรงบ่มได้อีกด้วย

    ที่อยู่ : 1 หมู่ 6 อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
    เปิดให้เข้าชม : 09.00-18.00 น.


7. ดอยอินทนนท์

      ใครว่า ดอยอินทนนท์ ควรไปเที่ยวเฉพาะช่วงหน้าหนาว บอกเลยว่าที่นี่ก็เหมาะที่จะมาเที่ยวในช่วงหน้าฝนเหมือนกันค่ะ เพราะทั้งขุนเขาจะเต็มไปด้วยความเขียวขจี เป็นอีกบรรยากาศที่สวยงามและชุ่มฉ่ำ ให้เราได้สูดอากาศสะอาดได้อย่างเต็มที่ และหลังจากฝนตกก็จะมีสายหมอกลอยเหนือทิวต้นไม้ ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งมากๆ ทีเดียวค่ะ

    🌿 ที่อยู่ : อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : เวลา เปิด-ปิด แตกต่างกันไปตามแต่ละสถานที่


8. สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์

      ไปเที่ยวชมดอกไม้ ต้นไม้ ที่ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กันค่ะ ที่นี่มีอาคารเรือนกระจกที่รวมชต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์เข้ามาไว้ในที่เดียว อนุรักษ์พันธุ์พืช ไม้หายากต่างๆ เดินเที่ยวได้ทั้งวัน

      นอกจากนี้ยังมี เส้นทางเดินเหนือเรือนยอดไม้ หรือ Canopy Walkway เป็นเส้นทางเดินชมธรรมชาติเหนือเรือนยอดไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยระยะทางกว่า 400 เมตร และที่ระดับความสูงเหนือพื้นดินกว่า 20 เมตร สามารถชมทัศนียภาพที่สวยงามของทิวยอดไม้ในแบบพาโนราม่า

    🌿 ที่อยู่ : 100 หมู่ 9 ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.


9. แกรนด์แคนยอน หางดง

       แกรนด์แคนยอน หางดง หรือ แกรนด์แคนยอน เชียงใหม่ เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีความลึกถึง 15-20 เมตร มีลักษณะพื้นที่คล้ายกับ แกรนด์ แคนยอน ที่รัฐแอริโซนา (Arizona) ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงทำให้คนเรียกกันว่า แกรนด์แคนยอน เชียงใหม่ นั่นเองค่ะ น้ำในแอ่งน้ำเป็นสีเขียวสวย เหมาะกับการมานั่งชิล ถ่ายรูปเล่น บางทีก็จะเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติมากระโดดน้ำเล่นอีกด้วยนะ

    🌿 ที่อยู่ : บ้านแพะขวาง หมู่ 3 ตำบลน้ำแพร่ อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 09.00-18.00 น.
    🖱 เว็บไซต์ : -


10. บ้านแม่กำปอง

      วิถีชุมชนที่สงบเรียบง่ายของ บ้านแม่กำปอง ทำให้หลายคนตกหลุมรักที่นี่เข้าอย่างจัง ที่ที่เวลาเดินช้า รายล้อมด้วยเขา และป่าใหญ่ นอกจากธรรมชาติอันสวยงาม และอากาศดีตลอดทั้งปีแล้ว ภายในหมู่บ้านแม่กำปอง ยังมีคาเฟ่น่านั่ง ให้นั่งเล่นได้แบบฟินๆ รวมถึงมีโฮมสเตย์ดีๆ ให้ได้พักรีแลกซ์ซึมซับบรรยากาศของความสงบอีกด้วย

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : เวลา เปิด-ปิด แตกต่างกันไปแล้วแต่สถานที่
    🖱 เว็บไซต์ : -


11. ดอยสุเทพ

     ดอยสุเทพ เป็นที่ตั้งของ วัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ ที่ยังไงหากได้ไปเที่ยวเชียงใหม่ ก็ต้องไม่พลาดไปสักการะสักครั้งค่ะ นอกเหนือจากนี้ ดอยสุเทพ ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม รายล้อมด้วยธรรมชาติสวยงาม มีทั้ง น้ำตกห้วยแก้ว น้ำตกมณฑาธาร และเป็นที่ตั้งของ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ อีกด้วย

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : เวลา เปิด-ปิด แตกต่างกันไปแล้วแต่สถานที่
    🖱 เว็บไซต์ : -

12. บ้านผาหมอน

     บ้านผาหมอน เป็นหมู่บ้านชาวปกาเกอะญอที่อยู่กลางหุบเขาอยู่ไม่ไกลจากดอยอินทนนท์ค่ะ แน่นอนว่าไฮไลท์สำคัญของที่นี่ก็คือ นาขั้นบันได ที่สวยงามนั่นเอง อีกทั้งยังมีที่พักไว้สำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย ใครที่อยากไปเที่ยวชมความเขียวขจี ถ่ายรูปสวยๆ กับนาขั้นบันได และสัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้านก็ลองมาเที่ยวที่นี่ดูได้ค่ะ

    🌿 ที่อยู่ : บ้านผาหมอน ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : ติดต่อการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านผาหมอน ก่อนเยี่ยมชม


13. น้ำตกแม่ยะ

     น้ำตกแม่ยะ เป็นน้ำตกที่สวยงามติดอันดับต้นๆ ของเมืองไทยเลยทีเดียวค่ะ ตั้งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เคยได้รับการจัดอันดับเป็น น้ำตกที่สวยที่สุดของประเทศไทย ก่อนที่จะมีการค้นพบ น้ำตกทีลอซู ที่จังหวัดตากนั่นเอง ในช่วงฤดูฝน สายน้ำตกจะกว้างไปถึง 100 เมตร สวยงามมาก เหมือนกับม่านน้ำเลยทีเดียวค่ะ

    ที่อยู่ : อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-16.30 น.


14. วัดเจ็ดยอด

      วัดเจ็ดยอด เป็นวัดที่สำคัญและเก่าแก่แห่งหนึ่งของเชียงใหม่ ลักษณะคล้ายกับ มหาวิหารโพธิ ที่ พุทธคยา ในประเทศอินเดีย ด้านนอกพระเจดีย์ ประดับงานปูนปั้นรูปเทวดางดงามมากๆ ความสวยงามของการมาเที่ยววัดเจ็ดยอดในช่วงหน้าฝนคือ เราจะได้เห็นความชุ่มฉ่ำและมอสสีเขียวตามพื้น แน่นอนว่าถ่ายรูปสวยมากๆ ทีเดียวค่ะ

    ดูรีวิวเต็มๆ ที่ วัดเจ็ดยอด ที่เที่ยวเชียงใหม่ วัดสวย แบบพุทธคยาอินเดีย วัดประจำคนเกิดปีมะเส็ง

    🌿 ที่อยู่ : 90 หมู่ที่ ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 06.00-18.00 น.


15. เขื่อนแม่กวงอุดมธารา

     เขื่อนแม่กวงอุดมธารา เป็นเขื่อนดินที่ตั้งอยู่ในอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ค่ะ เกิดจากแผนพัฒนางานชลประทานในลุ่มน้ำแม่กวง และเป็นเขื่อนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเชียงใหม่รองจาก เขื่อนแม่งัด แลนด์มาร์คของที่นี่อยู่ที่ สะพานแขวนเชื่อมใจ เป็นจุดถ่ายรูปสวย และจุดชมวิวของนักท่องเที่ยวอีกด้วย

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลลวงเหนือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : สามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งวัน
    🖱  เว็บไซต์ : -


16. เขื่อนแม่งัด

      เขื่อนแม่งัด หรือชื่อเต็มๆ คือ เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของ อุทยานแห่งชาติศรีลานนา ค่ะ เป็นอีกที่เที่ยวธรรมชาติสวย ที่เราสามารถไปชิลนอนแพ ดูหมอก ชมวิวภูเขา กันได้ค่ะ โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน ที่บรรยากาศจะดีมากๆ เต็มไปด้วยสายหมอก ภายในเขื่อน เราจะสามารถทำกิจกรรมได้อย่างการเล่นน้ำ และพายเรือคายัค งานนี้บอกได้เลยว่าจะสดชื่นใจมากๆ

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลอินทขิล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : สามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งวัน


17. น้ำตกผาดอกเสี้ยว

      ปิดท้ายกันที่ น้ำตกผาดอกเสี้ยว เป็นน้ำตกสวยๆ ที่ตั้งอยู่ใน บ้านแ่กลางหลวง และเคยใช้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์สุดโรแมนติกเรื่อง รักจัง ในปี พ.ศ.2549 จนได้ชื่อใหม่เพิ่มเติมว่า น้ำตกรักจัง ค่ะ โดยในการเข้าชม เราจะต้องติดต่อเพื่อขอไกด์นำเที่ยวให้พาเข้าไปยัง เส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกผาดอกเสี้ยว ก่อนค่ะ แม้จะเดินทางเข้าชมได้ยากพอสมควรเลย แต่รับรองว่า ไปถึงแล้วจะไม่เสียดายเลยที่อุตส่าห์แวะมาเที่ยวที่นี่ค่ะ

    🌿  ที่อยู่ : 119 หมู่ที่ 7 ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 06.00-18.00 น.

12
งานฝีมือ ทำดอกไม้แห้งให้เก็บรักษาคงรูปดังเดิม

การทำดอกไม้แห้งให้คงรูปทรงเดิมและรักษาสีสันให้ได้มากที่สุดนั้นเป็นงานฝีมือที่ต้องอาศัยเทคนิคและวัสดุที่เหมาะสมค่ะ วิธีที่นิยมและให้ผลลัพธ์ดีที่สุดคือการใช้สารดูดความชื้น (Silica Gel) ซึ่งได้อธิบายไปแล้วในส่วนของการอบดอกบัว แต่ก็มีวิธีอื่น ๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้เช่นกัน ดังนี้ค่ะ


1. การอบด้วยสารดูดความชื้น (Silica Gel) - วิธีที่ดีที่สุด

หลักการ: ซิลิกาเจลจะดูดความชื้นออกจากกลีบดอกไม้ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ทำให้ดอกไม้แห้งโดยไม่เหี่ยวหรือเสียรูปทรงมากนัก และรักษาสีสันได้ดีกว่าวิธีอื่น

ขั้นตอนโดยสรุป:

เลือกดอกไม้ที่สมบูรณ์ ไม่มีตำหนิ และกำลังบานได้ที่

เทซิลิกาเจลรองพื้นในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท

วางดอกไม้ลงไป จัดรูปทรงให้สวยงามตามต้องการ

ค่อยๆ เทซิลิกาเจลกลบดอกไม้ให้มิดทุกส่วน โดยเฉพาะตามซอกกลีบดอก

ปิดฝาให้สนิท ทิ้งไว้ 3-7 วัน (ขึ้นอยู่กับชนิดและขนาดดอกไม้)

ค่อยๆ เทซิลิกาเจลออก และใช้พู่กันขนนุ่มปัดทำความสะอาด

ข้อดี: รักษารูปทรงและสีสันได้ดีที่สุด

ข้อจำกัด: มีค่าใช้จ่ายสำหรับซิลิกาเจล และต้องระมัดระวังในการปัดซิลิกาเจลออกเพราะดอกไม้จะเปราะบางมาก


2. การอบด้วยทราย (Fine Sand) หรือบอแรกซ์ผสมแป้งข้าวโพด

หลักการ: คล้ายกับการใช้ซิลิกาเจล คือใช้ทรายหรือผงผสมดูดความชื้นออกจากดอกไม้ช้าๆ

ขั้นตอนโดยสรุป:

ใช้ทรายละเอียดที่ผ่านการล้างและอบแห้งสนิทแล้ว หรือผงบอแรกซ์ผสมแป้งข้าวโพดในอัตราส่วน 1:1

ทำตามขั้นตอนเดียวกับการใช้ซิลิกาเจล คือรองพื้น วางดอกไม้ และกลบให้มิด

ระยะเวลาในการอบอาจนานกว่าซิลิกาเจล (ประมาณ 1-3 สัปดาห์)

ข้อดี: วัสดุหาง่ายและราคาถูกกว่าซิลิกาเจล

ข้อจำกัด: อาจรักษาสีสันได้ไม่ดีเท่าซิลิกาเจล และต้องใช้ความระมัดระวังในการทำความสะอาดดอกไม้


3. การแขวนผึ่งลม (Air Drying)

หลักการ: เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและประหยัดที่สุด โดยการปล่อยให้ดอกไม้แห้งตามธรรมชาติ

ขั้นตอนโดยสรุป:

เลือกดอกไม้ที่ยังสดและสมบูรณ์

มัดรวมก้านดอกไม้เป็นช่อเล็กๆ (ไม่ควรมัดรวมกันแน่นเกินไป)

แขวนดอกไม้ในที่แห้ง อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีแสงแดดส่องถึงโดยตรง (เช่น ในตู้เสื้อผ้าที่เปิดระบายอากาศ หรือห้องเก็บของ)

ทิ้งไว้ประมาณ 2-4 สัปดาห์ หรือจนกว่าดอกไม้จะแห้งสนิท

ข้อดี: ง่าย ประหยัด ไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ

ข้อจำกัด: ดอกไม้อาจจะหดตัวหรือเปลี่ยนรูปทรงไปบ้าง สีอาจซีดลงหรือเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลได้ง่าย


4. การอบด้วยไมโครเวฟ (Microwave Drying)

หลักการ: ใช้ความร้อนจากไมโครเวฟช่วยเร่งกระบวนการดูดความชื้นของซิลิกาเจล


ขั้นตอนโดยสรุป:

เตรียมดอกไม้และซิลิกาเจลในภาชนะที่เข้าไมโครเวฟได้ (ไม่มีส่วนประกอบโลหะ) เช่น แก้ว หรือเซรามิก

กลบดอกไม้ด้วยซิลิกาเจลให้มิด

นำเข้าไมโครเวฟ โดยใช้ไฟต่ำ (Low/Defrost) และอบเป็นช่วงสั้นๆ (เช่น ครั้งละ 30 วินาที - 1 นาที) สลับกับการนำออกมาเช็คความแห้ง

เมื่อดอกไม้แห้งแล้ว ให้นำออกมาจากไมโครเวฟ แต่ยังคงทิ้งไว้ในซิลิกาเจลในภาชนะที่ปิดสนิทอีก 1-2 วัน เพื่อให้ดอกไม้คายความร้อนและแห้งสนิทอย่างสมบูรณ์

ข้อดี: รวดเร็วมาก เหมาะสำหรับดอกไม้ที่ต้องการใช้ด่วน

ข้อจำกัด: ต้องระมัดระวังอย่างมากในการควบคุมเวลาและอุณหภูมิ เพราะดอกไม้อาจไหม้หรือเสียรูปทรงได้ง่ายหากอบนานเกินไป


เคล็ดลับเพิ่มเติมในการรักษารูปทรงและสีสัน

เลือกดอกไม้ที่เหมาะสม: ดอกไม้ที่มีกลีบหนาและแข็งแรง เช่น กุหลาบ บัว คาร์เนชั่น จะรักษารูปทรงได้ดีกว่าดอกไม้กลีบบาง

เก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสม: ควรเก็บดอกไม้ในช่วงที่ดอกกำลังบานสวยงามที่สุด ไม่ใช่ดอกที่กำลังจะโรย

การเตรียมดอกไม้: ตัดก้านให้สั้นตามต้องการ หรือริดใบออกให้หมด

การจัดรูปทรง: ในขณะที่ดอกไม้ยังสดอยู่ ให้จัดรูปทรงของกลีบดอกให้สวยงามตามที่ต้องการก่อนนำไปอบ

การใช้สเปรย์เคลือบ: หลังจากดอกไม้แห้งสนิทแล้ว สามารถฉีดสเปรย์เคลือบดอกไม้แห้ง (Floral Sealant Spray) หรือสเปรย์เคลือบเงาสำหรับงานฝีมือ (Clear Acrylic Sealer) บางๆ เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรง ป้องกันความชื้น และรักษาสีสันให้คงทนยิ่งขึ้น

การเก็บรักษา: เก็บดอกไม้แห้งไว้ในที่แห้ง ปราศจากความชื้น แสงแดดโดยตรง และฝุ่นละออง เช่น ในกล่องที่มีฝาปิดสนิท หรือในตู้โชว์ เพื่อยืดอายุการใช้งาน

การทำดอกไม้แห้งให้คงรูปทรงเดิมต้องใช้ความอดทนและเรียนรู้จากประสบการณ์ค่ะ ลองใช้วิธีที่เหมาะสมกับดอกไม้ที่คุณมีและอุปกรณ์ที่คุณสามารถหาได้นะคะ

13
จัดฟันบางนา: อันตราย จากการจัดฟันแฟชั่น

ในปัจจุบันการจัดฟัน ถือเป็นการทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมาก เพราะการจัดฟันสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้แทบทุกกรณีไม่ว่าจะเป็น ฟันยื่น ฟันซ้อน ฟันเก หรือปัญหาฟันห่าง ฟันล้ม นอกจากจะเป็นการแก้ไขปัญหาฟันได้แล้ว การจัดฟัน ยังถือเป็นเทรนด์ยอดฮิตในกลุ่มวัยรุ่นที่มักจะเข้ารับการจัดฟัน เพื่อให้มีเสน่ห์หรือช่วยทำให้รู้สึกมั่นใจได้ และการจัดฟันยังช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพของเราให้ดีขึ้นได้อีกด้วย

แต่ในปัจจุบันด้วยความที่การจัดฟันเป็นที่นิยมมาก จึงทำให้มีการจัดฟันแฟชั่นเกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อช่องปากและฟันเป็นอย่างมาก นอกจากจะไม่ช่วยแก้ไขปัญหาฟันแล้ว ยังส่งผลเสียและทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพฟันอีกด้วย และวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงอันตรายจากการจัดฟันแฟชั่น เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงการจัดฟันอย่างถูกต้องเพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยส่งเสริมสุขภาพช่องปากและฟันอีกด้วย

สำหรับการจัดฟันแฟชั่น  เป็นการนำเครื่องมือไปติดในช่องปากเพื่อเลียนแบบการจัดฟันที่ทำโดยทันตแพทย์ แต่ไม่ได้ใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพและไม่ได้ผ่านขั้นตอนการจัดฟันที่ถูกต้องจากทันตแพทย์ ซึ่งการติดเหล็กจัดฟันที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่ถูกสุขอนามัยจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพช่องปากตามมา เช่น เป็นแผลในช่องปาก ฟันผุ มีกลิ่นปาก หรือติดเชื้อ เป็นต้น  เพราะการที่เราเข้ารับการจัดฟันแฟชั่นไม่ได้ทำโดยทันตแพทย์ จึงทำให้มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาตามมา สำหรับเหตุผลที่หลายคนเลือกหันไปจัดฟันแฟชั่น อาจจะเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการจัดฟันค่อนข้างสูง

หลายคนจึงเลือกใช้วัสดุจัดฟันที่ทำขึ้นมาเลียนแบบซึ่งอาจหาซื้อได้ง่าย โดยการจัดฟันแฟชั่นที่พบได้ทั่วไปมีหลายลักษณะ ร้านจัดฟันแฟชั่นบางแห่งอาจใช้เครื่องมือแบบติดแน่นเป็นโลหะทรงสี่เหลี่ยมที่มีร่องสำหรับใส่ลวดและคล้องยางสีต่างๆ คล้ายอุปกรณ์จัดฟันจริง กระทั่งใช้อุปกรณ์แบบถอดได้ที่มีลักษณะคล้ายเครื่องมือคงสภาพฟันหลังการจัดฟัน หรืออาจดัดแปลงวัสดุใช้งานทั่วไปที่ไม่ใช่อุปกรณ์ทางทันตกรรมมาใช้จัดฟัน ซึ่งการกระทำดังกล่าว เป็นการกระทำที่ผิดและเป็นอันตรายมาก  เพราะผู้ที่ทำการจัดฟันแฟชั่น ส่วนใหญ่จะไม่มีความรู้ทางทันตกรรม โดยอาจไม่เตรียมความพร้อมในช่องปากให้ผู้เข้ารับการรักษาก่อนจัดฟัน เช่น ไม่อุดฟันซี่ที่ผุ ไม่ขูดหินปูน เป็นต้น และอุปกรณ์หรือวัสดุจัดฟันที่ใช้ก็อาจไม่สะอาด ไม่มีคุณภาพ หรือไม่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพช่องปากตามมาได้ในอนาคต

ซึ่งอันตรายที่มากับการจัดฟันแฟชั่น อาจจะส่งผลให้ผู้เข้ารับการจัดฟันแฟชั่นเกิดโรคฟันผุ เหงือกอักเสบ มีกลิ่นปาก เนื่องจากการจัดฟันแฟชั่น เป็นการติดตั้งเครื่องมือจัดฟันที่คุณภาพไม่ได้มาตรฐาน จะทำให้เราทำความสะอาดช่องปากลำบากและผิดวิธี เมื่อแปรงฟันไม่สะอาด มีเศษอาหารสะสม จึงเกิดปัญหาฟันผุและเหงือกอักเสบบวมแดงตามมา ซึ่งปัญหาฟันผุนี้ยังทำให้มีกลิ่นปากได้อีกด้วย นอกจากนี้ เหล็กจัดฟันที่นำมาใช้ในการจัดฟันแฟชั่น ยังเป็นเพียงลวดธรรมดา ซึ่งหากใช้ไปนานๆ อาจจะขึ้นสนิมได้ และถ้าหากลวดที่ใช้อาจกดหรือทิ่มเหงือก ทำให้เกิดแผลที่กระพุ้งแก้ม แผลในช่องปากแบบเรื้อรังและอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อ ส่งผลไปถึงสุขภาพโดยรวมได้

ดังนั้นหากคุณสนใจเข้ารับการจัดฟันหรืออยากแก้ไขปัญหาฟันด้วยการจัดฟัน ควรที่จะเข้ามาปรึกษาทันตแพทย์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญโดยตรง เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพราะถ้าหากเราเลือกจัดฟันแบบแฟชั่น และใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน จะทำให้เกิดปัญหามาได้อีกมากมาย ทางคลินิกเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ มีความมั่นใจ อย่างไรก็ตาม ควรจะทำความสะอาดช่องปากและฟันให้ดี และถ้าหากเข้ารับการจัดฟัน สามารถปรึกษาทีมทันตแพทย์ของทางคลินิกได้ เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีวามเชี่ยวชาญ ผ่านการรับรองทางด้านทันตกรรม จึงทำให้มั่นใจได้ว่า คุณจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

14
การเล่นกีฬา ในระหว่างการจัดฟันเด็ก สามารถทำได้หรือไม่

อย่างที่หลายๆท่านทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า ในยุคสมัยนี้มีนวัตกรรมทางทันตกรรมที่ล้ำสมัย โดยมีชื่อว่า EF Line อุปกรณ์สำคัญในการจัดฟันในเด็กเล็ก ซึ่งได้ผลดีเกินคาด และได้รับการรองรับจากทันตแพทย์ทั่วโลกว่า เหมาะสมสำหรับเด็ก ลบความเชื่อผิดๆที่ว่าเด็กเล็กไม่ควรจัดฟันได้อย่างสิ้นเชิงซึ่งก็ได้นำนวัตกรรมล้ำสมัยนี้มาใช้ กับเด็กเล้กที่มีอาการผิดปกติทางด้านโครงสร้างกระดูกขากรรไกรที่เป็นต้นเหตุหลักทำให้ใบหน้าผิดรูป รวมถึงการสบฟันผิดปกติในเด็กเล็ก ไม่เว้นแม้แต่พฤติกรรมที่ทำให้เด็กมีปัญหาเรื่องสุขภาพช่องปากในอนาคตอีกด้วยแต่ก็ต้องขอบอกก่อนว่าเด็กเล็กๆ มักจะมีการต่อต้าน อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line มากพอสมควร ซึ่งอยากให้ผู้ปกครองอย่าถอดใจและทำความเข้าใจในพฤติกรรม และแข็งใจให้บุตรหลานของท่านใส่ให้ได้ โดยรายละเอียดวิธีการใช้และแก้ปัญหามีดังต่อไปนี้
 
กฎสำคัญในการใส่ EF Line ในเด็กเล็ก

– สิ่งสำคัญที่สุดในการให้บุตรหลานของท่านใส่ EF Line คือ บุตรหลานของท่านต้องมีอายุ 4 ปี ขึ้นไป แต่ถ้าจะให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในอุปกรณืชิ้นนี้คือใช้กับเด็กที่มีอายุต่ำหว่า 14 ปี
– ก่อนที่จะทำการใช้ อุปกรณ์ทันตกรรม EF Line ควรได้รับการวินิจฉัยจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น ไม่ควรหาซื้อมาใส่เอง เพราะ อุปกรณ์ EF Line จะถูกผลิตขึ้นมาใหม่ทุกครั้งเพื่อรับกับช่องปากและฟันของคนนั้นเท่านั้น และจะมีการวางรูปแบบในระยะยาว จึงไม่สามารถหาซื้อมาใส่เองหรือทำกับผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษาในด้านนี้เฉพาะได้
– ในขณะที่ใช้อุปกรณ์ EF Line จะต้องอยู่ในการดูแลของทันตแพทย์อย่างใกล้ชิดโดยตลอด มาตามนัดทันตแพทย์ผู้รักษาอย่าให้ขาด เพื่อจะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพสูงที่สุดนั่นเอง


คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ EF Line

ต้องขอบอกเลยว่า เด็กเล็กๆหลายๆคนมีปัญหาในการใส่ EF Line เนื่องจากว่าในขณะที่ทำการใส่แรกๆนั้น จะเกิดความไม่เคยชินเนื่องจากว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอยู่ในช่องปาก อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในบางตำแหน่ง และอาจจะเกิดบาดแผลเล็กๆได้ ซึ่งหากว่ามีบาดแผลในช่องปากให้ทำการทายาสำหรับช่องปาก ซึ่งอาจจะมีอาการเจ็บบ้างในระยะแรกๆ แต่ไม่นานแผลเหล่านั้น และอาการระคายเคืองจะหมดไปเนื่องจากร่างกายจะปรับตัวตามธรรมชาติ หรือพยายามให้เด็กเล็กที่ใส่อุปกรณ์ EF Line ดื่มน้ำเยอะๆในขณะใส่เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นภายในช่องปากก็สามารถลดการระคายเคืองได้ดีเช่นกัน
อีกสิ่งสำคัญที่มักจะทำให้ผู้ปกครองตกใจและให้บุตรหลานเลิกใส่นั่นก็คือ เมื่อทำการใส่ EF Line เด็กเล็กๆจะเริ่มมีอาการอยากอาเจียน บางคนถึงขั้นอาเจียนทุกครั้งเมื่อทำการใส่ ซึ่งถึงจะเป็นเช่นนั้นผู้ปกครองพยายามแข็งใจบังคับตนเองให้ใส่ EF Line ให้บุตรหลานให้ได้ เพราะ เมื่อใส่ไประยะหนึ่งจะเกิดความเคยชินและก็จะไม่เกิดอาการอยากอาเจียนอีก
หากต้องทำการใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line ให้เด็กเล็กๆ ผู้ปกครองควรเชื่อฟันคำแนะนำจากทันตแพทย์ ใจแข็ง ให้นึกไว้เสมอว่าหากไม่ให้บุตรหลานใส่อนาคตอาจจะต้องเสียใจเพราะบุตรหลานของท่านอาจมีฟันและโครงหน้าที่ผิดปกติและจะทำให้เกิดการรักษายากขึ้นมากตามอายุนั่นเอง
 
วิธีใส่ EF Line ที่ถูกต้อง

– กลางวัน
การใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line ในช่วงเวลากลางวัน หรือตอนตื่นนอน ควรเลือกเวลาให้ใส่ติดปากห้ามถอดออกเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งในขณะที่ใส่นี้ผู้ปกครองควรสังเกตพยายามให้บุตรหลานอยู่นิ่งๆ ไม่เอานิ้วเข้าปาก ไม่เคี้ยวอุปกรณ์เล่น ปิดปากให้สนิทไม่พูดคุยในขณะที่ทำการใส่อยู่เพื่อเป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อรอบปาก
– กลางคืน
ในเวลากลางคืนนี้ถือได้ว่าไม่ยุ่งยาก เนื่องจากว่าให้ใส่ก่อนจะเข้านอน โดยต้องทำการใส่ติดปากห้ามถอดในขณะนอนหลับ เป็นระยะเวลา 10 ชั่วโมง
 
ทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องที่ควรรู้ในการให้บุตรหลานหรือเด็กเล็กๆใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line โดยผู้ปกครองจะต้องใจแข็งและตั้งใจไปกับบุตรหลานของท่านด้วย เพียงเท่านี้อาการผิดปกติในช่องปากต่างๆก็จะกลับมาเป็นปกติอันรวดเร็วตามระเบียบของเด็กและผู้ปกครองด้วย

15
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


หน้า: [1] 2 3 ... 45