ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: เชื้อราในปาก (Oral Thrush) เชื้อราในปาก (Oral Thrush) คืออาการติดเชื้อในภายในช่องปาก เกิดจากเชื้อราแคนดิดา (Candida) ซึ่งเป็นผลมาจากอาการเจ็บป่วย ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือการใช้ยาบางชนิดที่ไปกระตุ้นให้เชื้อรา ชนิดนี้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว เชื้อราในปากไม่ค่อยมีอันตรายและสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการใช้ยาฆ่าเชื้อรา
อาการเชื้อราในปาก
แม้จะมีสาเหตุเกิดจากเชื้อราชนิดเดียวกัน แต่การแสดงออกของอาการเชื้อราในปากจะแตกต่างกันไปตามปัจจัยดังนี้
เด็กและผู้ใหญ่ในเบื้องต้นผู้ป่วยอาจไม่ทราบว่าตัวเองเป็นเชื้อราในปาก ทั้งนี้การแสดงอาการนั้น อาจจะเกิดขึ้นทันทีหรือต้องใช้เวลาหลายวัน หลายสัปดาห์ หรือหลายเดือน โดยลักษณะอาการมีดังนี้
มีคราบสีขาวที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม หรือเพดานปาก ที่เหงือก และต่อมทอนซิล
ลักษณะคราบขาวจะมีลักษณะคล้ายกับฝ้าในปาก
ภายในช่องปากแดง หรือเป็นแผล จนส่งผลกระทบต่อการกลืนอาหารหรือการเคี้ยวอาหาร
อาจมีเลือดออกซิบ ๆ มาจากบริเวณนั้นหากไปถู หรือขูด
ผู้ที่ใส่ฟันปลอมอาจมีอาการปากแตกหรือเป็นรอยแดงที่มุมปาก
รู้สึกปากแห้ง
ลิ้นไม่ค่อยรับรู้รสชาติ
ในรายที่รุนแรงคราบเชื้อราอาจแพร่กระจายลงไปภายในหลอดอาหาร จนทำให้กลืนอาหารได้ลำบากและมีอาการเหมือนมีอะไรติดคออยู่ตลอดเวลา
ทารก และหญิงให้นมบุตร ทารกที่เกิดเชื้อราภายในช่องปากจะมีปัญหาเรื่องการดูดนม และมีอาการหงุดหงิดได้ง่าย นอกจากนี้ ยังอาจแพร่เชื้อไปยังมารดาได้ผ่านทางการดูดนมแม่ ทำให้มารดามีอาการติดเชื้อราที่บริเวณหัวนม และมีอาการดังต่อไปนี้
เกิดอาการคัน เจ็บ ที่บริเวณหัวนม
หัวนมมีลักษณะแดง หรือแห้งแตกผิดปกติ
ลานหัวนมมีลักษณะเงา เป็นขุย
มีอาการเจ็บขณะที่ขณะหัวนมขณะที่ให้นมบุตร
อาจมีอาการเจ็บร้าวลึกเข้าไปในหน้าอก
สาเหตุของเชื้อราในปาก
เชื้อราในปากมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อราแคนดิดา ซึ่งโดยปกติแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันจะช่วยป้องกันการติดเชื้อราดังกล่าวได้ แต่ถ้าหากสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ ก็จะทำให้เชื้อราแคนดิดาเจริญเติบโตจนเกินการควบคุม และกลายเป็นอาการติดเชื้อรา โดยกลุ่มคนที่เสี่ยงต่อเชื้อราในปาก คือ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อย่างเด็กทารก และเด็กเล็ก และผู้ที่มีประวัติการปลูกถ่ายอวัยวะ ส่วนสาเหตุที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเกิดความผิดปกติ เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น
การรักษาโรคมะเร็ง ด้วยเคมีบำบัดหรือฉายรังสี ซึ่งส่งผลกระทบให้เซลล์ที่ดีอ่อนแอลง และเซลล์บางส่วนถูกทำลายไปพร้อมกับเซลล์มะเร็ง
โรคร้ายแรงต่าง ๆ เช่น การติดเชื้อ HIV โรคเอดส์ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน โรคเบาหวาน ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันจนทำให้เชื้อราเจริญเติบโตขึ้น
การตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ และมีภาวะเชื้อราในช่องคลอด จะแพร่เชื้อราแคนดิดาไปยังเด็กทารกขณะที่คลอดบุตรได้ ทำให้เด็กทารกเกิดเชื้อราในช่องปาก
การใช้ยาปฏิชีวนะ ผู้ที่ใช้ยาปฏิชีวนะในปริมาณมากติดต่อกันเป็นเวลานานอาจเกิดเชื้อราในปากได้
การใช้ยาพ่นสเตียรอยด์ในผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ต้องใช้ยาพ่นสเตียรอยด์เป็นประจำอาจมีเชื้อราเกิดขึ้นในช่องปาก
การใส่ฟันปลอม หากใส่ไม่ถูกต้องหรือใส่ไม่พอดีก็อาจทำให้เกิดเชื้อราในช่องปากได้
การรักษาความสะอาดของช่องปากที่ไม่ดี ผู้ที่ดูแลสุขภาพช่องปากไม่ดี อาจเป็นสาเหตุของเชื้อราในช่องปากได้
อาการปากแห้ง ผู้ที่มีอาการปากแห้งจากการใช้ยา หรือปัญหาสุขภาพต่าง ๆ อาจไปกระตุ้นการเกิดเชื้อราได้
สูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ สารเคมีในบุหรี่จะกระตุ้นให้เชื้อราภายในช่องปากเจริญเติบโตมากขึ้น
การวินิจฉัยเชื้อราในช่องปาก
เชื้อราในปากถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งในเบื้องต้นหากผู้ป่วยเห็นคราบขาวภายในช่องปาก ควรไปพบแพทย์ หรือทันตแพทย์เพื่อรับการตรวจอย่างละเอียด โดยแพทย์จะตรวจและนำตัวอย่างจากบริเวณแผลไปตรวจกับห้องปฏิบัติการอีกครั้งเพื่อยืนยันผล แต่หากอาการเชื้อรานั้นแพร่กระจายลงไปในหลอดอาหาร อาจต้องตรวจเพิ่มเติม เช่น
การเพาะเชื้อ โดยการนำสำลีก้านยาวป้ายเก็บตัวอย่างที่บริเวณคอด้านหลังแล้วนำไปเพาะเชื้อหาเชื้อราแคนดิดา
การส่องกล้อง โดยการสอดกล้องเข้าในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กเพื่อดูร่องรอยของเชื้อรา
ทั้งนี้หากแพทย์พบว่าผู้ป่วยมีอาการติดเชื้อราในหลอดอาหาร แพทย์จะวางแผนการรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะหากปล่อยไว้เชื้อราอาจลุกลามลึกลงไปในร่างกายมากขึ้น
การรักษาเชื้อราในปาก
เชื้อราในปากรักษาให้หายได้ด้วยยารักษาเชื้อรา ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกใช้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ด ยาอม หรือยาน้ำ โดยต้องใช้ติดต่อกันอย่างน้อยประมาณ 7-14 วัน จึงจะหายเป็นปกติ จนกว่าอาการจะหายและครบตามที่แพทย์สั่ง โดยยาเหล่านี้มักเป็นยาที่ไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง แต่อาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ปวดท้อง หรือท้องเสียได้ ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรระมัดระวังในการใช้
หากเชื้อราในปากเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะ หรือยาสเตียรอยด์ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไข โดยแพทย์อาจเปลี่ยนยา หรือปรับขนาดยาให้เหมาะสมมากขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนของเชื้อราในปาก
เชื้อราในปากมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้น้อยมาก โดยมักเกิดขึ้นได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ คือ
เชื้อราแพร่เข้าสู่กระแสเลือด และเป็นสาเหตุทำให้เกิดการติดเชื้อราที่อวัยวะอื่น ๆ
มีปัญหาในการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำ เชื้อราในปากที่กระจายไปยังหลอดอาหารจะทำให้กลืนลำบาก และอาจมีอาการเจ็บขณะรับประทานอาหาร
มีปัญหาในการดูดซึมสารอาหาร หากปล่อยให้มีอาการเชื้อราในปากโดยไม่รักษาอย่างจริงจัง จะทำให้เชื้อราแพร่กระจายลงไปถึงลำไส้ และอาจส่งผลให้ลำไส้ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มที่
การป้องกันเชื้อราในปาก
ความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดเชื้อราในปากได้ โดยวิธีที่จะช่วยให้ช่องปากสะอาดอยู่เสมอมีดังนี้
บ้วนปากทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร
แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันที่ผสมสารฟลูออไรด์ และใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ
พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะคนที่ใส่ฟันปลอม
ถอดฟันปลอมออกมาทำความสะอาดทุกคืน โดยควรทำความสะอาดด้วยยาสีฟัน หรือสบู่ และล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นแช่ในน้ำยาสำหรับทำความสะอาดโดยเฉพาะ
แปรงเหงือก ลิ้น และภายในช่องปากด้วยแปรงสีฟันขนอ่อนนุ่มเป็นประจำเพื่อทำความสะอาด
ควรไปพบทันตแพทย์โดยทันทีหากฟันปลอมที่ใช้อยู่สวมใส่ได้ไม่พอดี
เลิกสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่กระตุ้นการเกิดเชื้อราได้
สำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ต้องพ่นยาสเตียรอยด์ ควรบ้วนปากทุกครั้งหลังจากใช้ยา
ควบคุมอาการของโรคที่เป็นสาเหตุของเชื้อราในปาก เช่น โรคเบาหวาน ให้อยู่ในระดับที่ดี จะช่วยลดการเกิดเชื้อราในช่องปากได้
หลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์พ่นปาก หรือน้ำยาบ้วนปากมากเกินจำเป็น เพราะหากใช้มากเกินไปอาจทำให้เกิดการเสียสมดุลของแบคทีเรียในช่องปากได้