5 กลุ่มเสี่ยง ‘โรคไต’ มีใครบ้าง หมอเฉพาะทางโรคไตมีคำตอบการเลี่ยงทานเค็มเท่ากับเลี่ยงโรคไตไม่ได้เป็นสาเหตุเดียวที่ก่อเกิดโรคไต หมอเฉพาะทางโรคไตยังระบุไว้ว่ายังมีสาเหตุต่าง ๆ อีกมากมายที่ทำให้เกิดโรคไตได้ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยด้านพันธุกรรม ด้านพฤติกรรม และด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลให้ไตค่อย ๆ ทำงานลดลงจนกรองของเสียหรือสารพิษไม่ได้ตามปกติ ดังนั้นการเรียนรู้วิธีการดูแลไตและลดความเสี่ยงเกิดโรคไตจึงสำคัญ
สาเหตุของ ‘โรคไต’ ไม่ใช่แค่ทานเค็ม
สาเหตุของการเกิดโรคไต ไม่ใช่แค่มาจากการทานอาหารที่มีโซเดียมสูงอย่างที่เราทราบกันเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีส่วนกระตุ้นให้ไตทำงานผิดปกติ ซึ่งหมอเฉพาะทางโรคไต ได้รวบรวมไว้ให้แล้วได้แก่
พันธุกรรม รวมถึงการมีภาวะไตผิดปกติ หรือไม่สมบูรณ์แต่กำเนิด
การมีโรคประจำตัวที่มีผลกระทบต่อไต
การทานอาหารรสจัด และอาหารแปรรูปอย่างสม่ำเสมอ
การดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือดื่มน้ำไม่สัมพันธ์กับน้ำหนักตัว
ภาวะหลอดเลือดฝอยในไตอักเสบ
การตรวจพบนิ่วในไตหรือในระบบทางเดินปัสสาวะ
5 กลุ่มเสี่ยง ‘โรคไต’ มีใครบ้าง
กลุ่มเสี่ยงโรคไต มีทั้งหมด 5 กลุ่ม ซึ่งหมอเฉพาะทางโรคไต ได้แบ่งและจัดประเภทกลุ่มเสี่ยงทั้งหมดไว้แล้ว ดังนี้
1. ผู้ที่มีโรคประจำตัว
ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) โรคเก๊าท์ ซึ่งล้วนแต่ทำให้ความเสี่ยงในการเป็นโรคไตเรื้อรังเพิ่มสูงขึ้น
2. ผู้ที่รับประทานอาหารรสจัด
ผู้ที่รับประทานอาหารรสจัด การทานอาหารรสจัดนั้น ไม่ได้จำกัดแค่อาหารรสเค็มจัด แต่ยังรวมถึงอาหารหวานจัด หรือเผ็ดจัด และการทานอาหารแปรรูป เช่น แฮม เบคอน ขนมกรุบกรอบ ผลไม้กระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารหมักดอง สารเสริมต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ
3. ผู้ที่ดื่มน้ำน้อย
แม้การดื่มน้ำไม่เพียงพออาจไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคไต แต่หมอเฉพาะทางโรคไตกล่าวไว้ว่าการดื่มน้ำน้อยมักส่งผลให้ไตทำงานหนักขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคไตได้
4. ผู้ที่รับประทานยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เป็นประจำ
การกลุ่มยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) เพื่อใช้คลายอาการปวดเป็นเวลานานส่งผลให้การไหลเวียนเลือดในไตลดลงและก่อให้เกิดโรคไต เนื่องจากยากลุ่มดังกล่าวสามารถออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของสารพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ซึ่งมีหน้าที่ช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดในไตและหน้าที่สำคัญอื่นหลายประการ
อาการผิดปรกติจากการใช้ยากลุ่มต้านการอักเสบ
นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่ใช้ยากลุ่ม NSAIDs เป็นประจำ ควรสังเกตอาการผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงโรคไต เช่น
ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในตอนกลางคืน
ปัสสาวะเป็นฟอง มีสีเข้ม หรือมีสีผิดปกติ
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
มีอาการบวมตามใบหน้า เท้า แขน และขา
ปวดหลังหรือปวดเอวเรื้อรัง
5. ผู้ที่รับประทานอาหารเสริมเกินขนาด
ผู้ที่รับประทานอาหารเสริมเกินขนาด เนื่องจากไตมีหน้าที่กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย การทานอาหารเสริมในปริมาณมากเกินความจำเป็นย่อมส่งผลให้ไตทำงานหนักขึ้นและยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะไตอักเสบ ไตวายหรือภาวะนิ่วในไต ดังนั้น เราควรทานในปริมาณที่พอเหมาะและปรึกษาหมอเฉพาะทางโรคไตก่อนเริ่มทานอาหารเสริมทุกครั้ง โดยเฉพาะอาหารเสริมที่มีส่วนประกอบเหล่านี้ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินซีและแร่ธาตุบางชนิด เช่น แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม
การดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรคไต
เนื่องจาก ‘โรคไต’ ถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ทั้งในไทยและทั่วโลก อีกทั้งยังไม่มียาชนิดใดสามารถรักษาโรคไตเรื้อรังให้หายขาดได้ ดังนั้นการดูแลสุขภาพไตให้แข็งแรงนับเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ควรมองข้าม โดยสามารถเริ่มต้นจากการลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ และปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอเฉพาะทางโรคไต ดังนี้
ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน
เลือกรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน
หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและโซเดียมสูง
หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป
ควบคุมและดูแลโรคประจำตัว
ตรวจเช็กความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ
หลีกเลี่ยงหรือจำกัดการทานยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มสุรา
เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ